Perfume Blog: ลองกลิ่น L’Occitane Roses et Reines en Rouge EDT [2017]

ต่อกันกับ L’Occitane อีกกลิ่น คราวนี้เป็นกลิ่น Limited ในปี 2017 คือกลิ่น Roses et Reines en Rouge แค่ชื่อก็พอจะคิดออกว่ามันเป็นกลิ่นกุหลาบอีกกลิ่นจากแบรนด์นี้ แต่มันจะเป็นยังไงนะ กุหลาบในน้ำหอมจะมีกลิ่นหลายหลายสักแค่ไหนเชียว ได้มาแล้วก็ต้องลองกลิ่นสักครั้งละ

L’Occitane en Provence Roses et Reines en Rouge ออกมาในปี 2017 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Fresh and Fruity ด้วยโน้ตกลิ่น

  • Top: Red Currant, Blackberry, Raspberry pulp, Grapefruit zest
  • Heart: Red Rose, Pink Peony, Red fruits – Bergamot
  • Base: White Musk, Rose Blossom, White Sandalwood, Wild Raspberry

กลิ่นเปิดมาด้วยซีตรัสซาบซ่าสดชื่น คลอด้วยกลิ่นเขียวคม ปนกลิ่นเบอร์รี่บางๆ กลิ่นช่วงต้นนี้ให้อารมณ์ของกลิ่นต้นไม้ สวน ป่าเย็นๆ สักพักกลิ่นดอกไม้ต่างๆ เริ่มแทรกขึ้นมาแข่งขันในช่วงกลางของกลิ่น ทั้งกลิ่นแบบ Peony และ กุหลาบคมๆ บนพื้นหลังของกลิ่นหอมเบอร์รี่ที่ไม่หวานจัด ให้ความรู้สึกของกลิ่นดอกไม้สดในแจกัน ช่วงท้ายเสริมกลิ่นด้วยมักส์ กับไม้หอมบางคลอไปจนจบกลิ่น

กลิ่นนี้หอมเหมือนดอกไม้สด กลิ่นต้นไม้เขียวๆ เย็นๆ ที่โปร่ง สดใส ไม่มีความหวานฉ่ำเลย แต่กลับอมเปรี้ยว เขียวเย็นแปลกพิลึก แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกแบบน้ำหอมกลิ่นกุหลาบอยู่ แต่เป็นกุหลาบแบบสมุนไพรหน่ะ กลิ่นเหมาะกับช่วง Summer มาก คงต้องยกให้โน้ตเบอร์รี่ต่างๆ ที่ให้กลิ่นแปลกไม่เหมือนกับเบอร์รี่หอมหวานแบบพวกน้ำหอมทั่วไป แต่เป็นเบอร์รี่ที่หอมแบบผลไม้ธรรมชาติจนแอบเขียวหน่อยๆ นั่นละ กลิ่นรวมกันแล้วอย่างกับอยู่ใน Provence ที่ฝรั่งเศษอย่างคำโปรยบรรยายไว้อย่างนั้นเลย แต่มันก็ให้กลิ่นเบาบาง จากไปในเวลาไม่นานสมกับเป็นน้ำหอม L’Occitane ตามระเบียบน่าเสียดาย

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น L’Occitane Joyeuses Fetes EDT [2017]

ครั้งนี้ได้น้ำหอมจาก L’Occitane กลิ่นเก่ามาลองอีกครั้ง กลิ่น Joyeuses Fetes ที่ออกมาเมื่อปี 2017 กลิ่นนี้เพิ่งจะได้รู้จักก็ตอนได้ขวดนี้มานี่ละ ไม่รู้จักกลิ่นนี้มาก่อน จริงๆ ไม่รู้ว่า L’Occitane มีน้ำหอมหลายกลิ่นเยอะมากตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน คิดว่าเป็นแบรนด์ Skin Care อย่างเดียวซะอีก ส่วนกลิ่นนี้ที่จะเอามาลองกลิ่นนั้นได้ขวดรูปร่างหน้าตาแปลกไปจากรุ่นปัจจุบันมาก คิดว่าเป็นขวดรุ่นแรกๆ ละมั้ง

L’Occitane Joyeuses Fetes ออกมาเมื่อปี 2017 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Floral Fruity มีโน๊ตกลิ่นของ Rose, Peony, Red Berries

เปิดด้วยกลิ่นหอมดอกไม้ หวานเบา ชุ่มน้ำ กลิ่นแนวดอก Peony หอมครีมเนียนโปร่งใส รู้สึกถึงกลิ่นกุหลาบแหลมบางๆ แซมมาแค่นั้นไม่ได้เป็นกุหลาบโดดเด่นเหมือนกลิ่นอื่นของยี่ห้อนี้ ในเว็บบอกมีโน๊ตกลิ่นเบอร์รี่ด้วย แต่ไม่รู้สึกถึงเลย

สรุป Joyeuses Fetes กลิ่นนี้เป็นกลิ่นแนวดอกไม้หวานนุ่ม ออกไปทางครีม+กลิ่นนม หอมสะอาดน่ารัก กลิ่นดูไร้เดียงสามาก ให้กลิ่นสไตล์ของ L’Occitane ที่บางเบา โปร่งพลิ้ว สดชื่นอีกกลิ่น ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีขายในไทยไหม แบบว่าถ้าไม่มีก็น่าเสียดายกลิ่นหอมดีเลย เหมาะกับฤดูร้อน สภาพอากาศร้อนที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นฤดูฝนได้ดี

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Chloé L’eau ทั้ง 3 กลิ่น [2012, 2019, 2023]

วันนี้จะมาลองกลิ่นใหม่จาก Chloé ที่เพิ่งออกมาเมื่อปีก่อน ออกมาในตระกูล L’eau นั่นคือ chloé l’eau de parfum lumineus ได้แบบน้ำหอมก้นขวดมาลองกลิ่น จริงๆ ตั้งใจจะซื้อขวดเต็มมา แต่เห็นโน๊ตกลิ่นมี Vanilla ในโน๊ตกลิ่นด้วยเลยยั้งมือไว้ก่อน เพราะตระกูล L’eau มันน่าจะออกไปทางกลิ่นโปร่งๆ สดชื่น กลิ่นสำหรับฤดูร้อน ไม่หวานอุ่นแนว Vanilla นี่นา อย่างที่รู้กันถ้ากลิ่นไหนมี Vanilla เข้ามาแจมด้วยละก็ออกแนวหวานอบอุ่น นวลเนียน ไม่เหมาะกับอากาศร้อนๆ แน่นอน เลยเลือกที่จะเอาแบบก้นขวดมาลองกลิ่นก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปเปล่าๆ หากไม่ถูกใจ มาลองกลิ่นกันดีกว่า

Chloé L’eau de Parfum Lumineuse [2023]

L’eau de Parfum Lumineuse นี้ถูกวางไว้ให้เป็นน้ำหอมรักษ์โลก ที่ทุกอย่างผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล ตัวน้ำหอมก็ใช้สิ่งสังเคราะห์น้อยที่สุด ใช้วัสดุธรรมชาติให้มากที่สุดอะไรแบบนั้น ซึ่งก็ดูดีเข้าเทรนด์รักษ์โลกของยุคสมัยปัจจุบัน โดยคอนเซ็ปทุกอย่างดูเข้าท่าหมด มาในตระกูล L’eau อีกด้วย มันน่าสนใจและน่าลองกลิ่นเหลือเกิน จากประสบการณ์ที่เคยสัมผัส L’eau รุ่นผ่านมามันให้กลิ่นใส โปร่ง ธรรมชาติ ดูไม่สังเคราะห์ น่าจะไปด้วยกันได้ดีกับคอนเซ็ปนี้ ติดอยู่ที่ทุกรุ่นที่ผ่านมาเน้นไปทางกลิ่นที่เบาสบาย โปร่งใส แนวแสงแดด สายลม สองเราชิลๆ แต่ตัว Lumineuse กลับมีโน๊ตกลิ่นของ Vanilla ในโน๊ตกลิ่นพื้น มันจะออกมาแบบไหน Vanilla ไม่เคยหอมใสชิลๆ เลย กลัวจะออกมาแนว MY WAY แนวน้ำกลิ่น Vanilla หอมหวานที่กำลังฮิตกันช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้จังเลย

เปิดมาด้วยกลิ่นหอมแนวมะลิ ปนกุหลาบที่มีกลิ่นวนิลาหวานอุ่น เป็นกลิ่นวนิลาที่หนาและหวานเนียนแถมแรงกลบกลิ่นดอกไม้ไปหมดอีกด้วย มีความแห้งแบบแป้งนิดๆ ในพื้นพื้นหลังพอให้กลิ่นได้รู้สึกนุ่มนวล สะอาด นวลเนียน กลิ่นในช่วงกลางไปถึงช่วงหลังนั้นเลลิ่นยังคงหวานวนิลาอยู่ แต่ก็ได้กลิ่นกุหลาบแซมขึ้นมาให้รู้สึกเป็นระยะ พอสดชื่นขึ้นบ้าง แต่ตลอดช่วงกลิ่นรู้สึกถึงวนิลา-แป้งที่แรงและชัดมากไปจนจบกลิ่น

กลิ่นนี้ดูไม่เป็นแนว L’eau ที่ให้กลิ่นสดชื่น โปร่งอย่างเคย แต่ให้กลับให้กลิ่นหอมแน่น ตันๆ แบบกลิ่นหวานแป้ง-วนิลาแทน กุหลาบส่งมาแค่กลิ่นเสริมบางเบาเท่านั้น แต่ด้วยกลิ่นแบบนี่ก็ทำให้ติดทนนานกว่า L’eau ปกติแน่นอน ส่วนตัวคิดว่ากลิ่นไม่เข้ากับฤดูร้อนสักเท่าไหร่ เป็น L’eau ที่เข้ากับฤดูหนาวซะมากกว่า และถ้าได้กลิ่นผ่านๆ ก็รู้สึกว่าเป็นกลิ่นของน้ำหอมทั่วไปในช่วงนี้ แนววนิลา หวานๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ช่วงนี้ ดูน่าเบื่อหน่อยๆ เลยละ

Chloe L’eau EDT [2019]

แถมกับลองกลิ่น Chloe L’eau อีก 2 รุ่นในอดีตสักหน่อย เป็นการลองกลิ่นสั้นๆ MINI ไว้ประกอบการตัดสินใจ โดยกลิ่นนี้ Chloe L’eau EDT เป็นกลิ่นที่ชอบมากสุด ให้กลิ่นกุหลาบสด แบบน้ำกุหลาบหอม หวานสดชื่น ติดเขียวนิดๆ โปร่ง และกลิ่นติดค่อนข้างทนในสภาพอากาศร้อนๆ อีกด้วย

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นกุหลาบปนกลิ่นซีตรัสคมๆ สดใส เพราะกลิ่นซีตรัสแบบ Grapefruit  ทำให้กุหลาบดูฉ่ำน้ำแบบช้ำๆ แต่โปร่งสดชื่น มีกลิ่นลิ้นจี้บางๆ เสริมให้กลิ่นดูฉ่ำน้ำขึ้นไปอีก เป็นกลิ่นเปิดที่หอมสดชื่นอย่างกับเอาน้ำมาราดซะอย่างนั้นเลย พอกลิ่นแห้งไปสักพักกลิ่น Magnolia ที่หอมสะอาดคุ้นเคยแทรกเข้ามาคลอร่วมกับกลิ่นกุหลาบฉ่ำน้ำช่วงนี้ทำให้กลิ่นมันพร้อมสู้อากาศร้อนดีมาก กุหลาบสดแบบมีน้ำค้างบนกลีบที่หอมสะอาด สะอ้าน โปร่ง สดชื่นมาก ในช่วงหลังจะติดกลิ่นเขียวแทรกเข้ามาในพื้นหลังหน่อยๆ กับมักส์นวล ไม้หอมนิดๆ จบกลิ่นด้วยความหอมละมุน แนวสะอาดๆ มินิมอลเลย

L’eau EDT กลิ่นนี้แหละที่ให้กลิ่นกุหลาบฉ่ำน้ำ และสะอาด ไม่แก่ ไม่ทึบ ไม่สาบ หอมสะอาด โปร่งเบาแบบที่ฉีดตอนไหนในสภาพอากาศร้อนๆ ก็หอมสดชื่น ไม่อุ่น ไม่ทึบ ไม่อบอวลให้ขุ่นข้องใจเลย เป็นกลิ่นที่ตัวบล็อกแบ่งใส่ขวดสเปรย์เล็กๆ ไปฉีดตลอดวันแบบสะใจด้วย เพราะมันหอม หอมแบบไม่ทำร้ายใคร หอมแบบที่คนเข้ามาใกล้ได้สนิทใจ เพราะเราหอมในสภาพอากาศร้อนแบบนี้ไงละ แต่ได้ข่าวมาว่ามันเลิกผลิตแล้วด้วยสิ ที่มีขายอยู่คือสินค้าที่ยังมีสต๊อกอยู่เท่านั้น น่าเสียดายมาก

Chloe L’eau de Chloe [2012]

ปิดท้ายด้วย L’eau รุ่นแรกๆ ที่มากับโบว์สีเขียวเย็นตา เป็นเขียวพาสเทลที่ออกตุ่นๆ ดูดีเลย กลิ่นที่หลายๆ คนไม่ปลื้มในกลิ่นสักเท่าไหร่ ที่กลิ่นค่อนข้างเบา บาง และติดไม่ทน แต่หลังจากที่มันเลิกผลิตไป กลับเป็นกลิ่นที่ถูกถามถึงและตามหา ราคาแพงอีกด้วย อย่างที่เขาว่ากันต้องให้ตายไปก่อนคนถึงจะเห็นคุณค่าความสำคัญนั่นละ ตัวบล็อกเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มองหาโบว์เขียวนี้มาเรื่อยๆ พอเจอก็ไม่ปล่อยให้หลุดไปจับมาลองกลิ่นให้รู้เรื่องกันไปเลย

เปิดมาแบบกลิ่นกุหลาบผสมกับซีตรัสคมใส มีความหวาน เปรี้ยว เขียว แบบกลิ่นแนวดอกไม้ขาวหอมสะอาด แทรกด้วยกลิ่น Patchouli ที่มาแบบโปร่งใสคลอไปกับกลิ่นกุหลาบอมเปรี้ยวจากช่วงกลิ่นเปิดที่เปลี่ยนมาเป็นกุหลาบฉ่ำน้ำแบบ Rose Water สดชื่นสดใสไปตลอดช่วงกลางของกลิ่น ปิดท้ายเสริมด้วยกลิ่นไม้หอมบางเบาคลอไปกับมักส์ใสไปจนจบกลิ่น

หอมนะ กลิ่นน้ำเขียวนี้ เป็นกลิ่นกุหลาบ+เขียวแบบสมุนไพรด้วยกลิ่นของ Patchouli และไม้หอม ให้กลิ่นโปร่งใสสดชื่น ไม่มีความอบอุ่น หรือหวานจัดเลย ให้กลิ่นแบบดอกไม้ลอยน้ำเย็นๆ เลยละ แต่ด้วยความ Patchouli ใสแปร่งแบบนี้ละมั้ง อาจจะไม่เป็นที่นิยมสำหรับใครหลายคนทำให้มันเลิกผลิตไปนานแล้วกลิ่นนี้ ส่วนตัวชอบกลิ่นแบบนี้ กลิ่นโทนเขียว สมุนไพรคมๆ ใสๆ ปนกลิ่นดอกไม้โปร่งใส เหมาะกับอากาศร้อนดี คิดว่าเป็นกลิ่นต้นฉบับของกลิ่นโบว์เขียวที่มีในยุคปัจจุบันเลยไหมเนี่ย ยังไม่เคยลองโบว์เขียวรุ่นใหม่เลย คงจะต้องหามาลองกลิ่นแล้วละ

นี่ละกลิ่นตระกูล L’eau จาก Chloe เท่าที่หามาลองกลิ่นได้ กลิ่นออกไปทางกลิ่นหอมบางเบา ธรรมชาติ โปร่งพริ้วไหว มีรุ่นใหม่มีแหละที่แหวกออกไปทางหวานเข้มอบอุ่มอิงตามยุคสมัย ไม่อิงตระกูลเดิมอะไรแล้ว แต่ก็หอมทุกกลิ่นนะเอาไว้เป็นตัวเลือกให้ได้ใช้กัน ตอนนี้ก็คิดว่าจะหาโบว์เขียวอีก 2 รุ่นใหม่มาลองกลิ่นสักที อยากรู้ว่ากลิ่นจะหอมแค่ไหนกันไว้จะมาเล่าให้อ่านเล่นกันอีกทีครั้งต่อไป

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

ลองชิม Black Dragon Celtic Amber Beer

กระป๋องนี้เคยเห็นมานานมากแล้ว เห็นว่าเป็นเบียร์นอกราคาคงแพงเลยมองผ่านๆ ไปไม่เคยหยิบมาดู ครั้งนี้เจอในตู้แช่ที่เซเว่นเลยดูราคาเห็นว่าราคาไม่แพงเกินก็หยิบมาลองชิมดู กระป๋องแดงรูปมังกรน่าจะรสเข้มละมั้ง

ได้กลิ่นหอมแปลกบอกไม่ถูกว่ากลิ่นเหมือนอะไร สีขอบเบียร์นั้นก็เหลืองเข้มข้นสวยงาม รสชาติคำแรกนั้นให้รสหวานตั้งแต่สัมผัสลิ้น พร้อมกับกลิ่นหอม “มัน” และติดกลิ่นไหม้นิดๆ แปลกดี แต่เแปลกในทางที่อร่อยนะ รสชาติหวานบางๆ ให้ความ”มัน”ติดลิ้นกำลังดี พร้อมกับกลิ่้นหอมไหม้ที่เข้ากันดี ทำให้มันน่าดื่มต่อเข้าไปอีก

สรุปว่าเป็นอีกยี่ห้อที่อร่อย มีจุดเด่นที่สีเหลืองสวย และกลิ่นหอมไหม้บางๆ ที่บอกว่าเป็นกลิ่น Caramel Malt ก็คงจะเป็นอย่างนั้นละ ดื่มง่าย หวาน – เข้ม กำลังดี มีแอล 4% ไม่มากเท่าไหร่ตามราตราฐาน ราคา 59 บาท ก็ทำให้หยิบมาลองได้ไม่ยาก

Perfume Blog: L’Occitane jasmin immortelle neroli EDT [2015]

L’Occitane jasmin immortelle neroli เป็นกลิ่นรุ่น Limited Edition ที่ L’Occitane en Provence และ Pierre Herme หรือที่รู้จักกันในนาม “The Picasso of Pastry” เชฟชื่อดัง ในชุด Limited นี้จะมี 3 ชุดด้วยกัน โดยที่รูปร่างขวดออกแบบโดย Olivier Baussan ให้ภาพของคุกกี้นั่นเอง

โดยที่กลิ่นนี้ ชื่อกลิ่นก็บอกโน๊ตของกลิ่นหลักตรงตัวเลย นั่นก็คือ Jasmin, Immortelle, Neroli เสริมด้วยกลิ่นเปิดอย่าง Lemon, Pink Pepper ตบท้ายด้วยกลิ่น Wood, Musk

เปิดมาด้วยกลิ่นหอมเขียวสดชื่นแบบ Neloli คลอมากับ Jasmine สว่างใส มีอีกกลิ่นที่บอกไม่ถูกว่ารู้สึกถึงอะไร แต่มันให้กลิ่นหอมครีมมันปนกลิ่นดอกไม้ โดยกลิ่นปนมากับกลิ่น Lemon และซ่าๆ แบบเครื่องเทศโปร่งที่รู้สึกสดชื่น ในช่วงหลังของกลิ่นนั้นให้นึกถึงกลิ่นหอมแบบสมุนไพรสะอาดๆ สไตล์กลิ่น Hand Cream ของ L’Occitane ด้วย ให้ความคุ้นเคยอบอุ่นเป็นอย่างดี

เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกถึงของลมเย็นพัดผ่านผิวในวันชิลๆ กลางฤดูร้อนเลยจริงๆ กลิ่นที่ทำให้นึกถึงแต่สิ่งดีๆ คิดถึงความรู้สึกดีๆ หอมมากเลยกลิ่นนี้ ได้ขวดรุ่น Limited ของปี 2015 มานี่โชคดีเลยละ ขวดสวยเข้ากับอารมณ์ของกลิ่นที่สดใส แสงแดด สายลม หากไปที่เคาน์เตอร์ของ L’Occitane ตอนนี้ในไทย ไม่แน่ใจว่ามีขายไหมนะกลิ่นนี้ เพราะกลิ่นนี้กลับมาวางจำหน่ายใหม่ในกลุ่มสินค้า Classic อะไรสักอย่างที่อยู่ในขวดแบนๆ เหมือนกันไปหมด ไม่ใช่ขวดทรงกลมแบนแบบนี้แล้ว

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น CHANEL CHANCE Eau Fraiche EDP [2023]

CHANEL CHANCE Eau Fraiche รุ่น Eau de Parfum รุ่นใหม่จากตระกูล CHANCE ที่มีน้ำสีเขียว เคยลองกลิ่นรุ่น EDT อยู่ครั้งนึงก็เป็นกลิ่นสดชื่นสดใสทั่วไป ส่วนสีอื่นๆ ก็เป็นแนวกลิ่นหอมสดใส แบบเน้นสาวๆ เป็นหลัก เลยไม่ได้สนใจตระกูล CHANCE สักเท่าไหร่ ครั้งนี้ได้การ์ดน้ำหอมมาพร้อมกับตอนซื้อ CRISTALLE รุ่นขวดใหม่มา เลยเอามาลองกลิ่นดูว่ามันจะหอมไปทางไหนในรุ่นนี้ มีโน้ตกลิ่นสั้นๆ ได้แก่ Citron, Jasmine, Teak Wood, Amber

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นซีตรัสคมใส สดชื่นแซมกลิ่นอมเปรี้ยวบางๆ ให้สัมผัสของ Aldehydes ที่โปร่งโล่งซาบซ่าในพื้นหลัง เป็นกลิ่นเปิดที่สดใส สดชื่นให้อารมณ์ Cologne เย็นๆ ในวันอากาศร้อนหลังอาบน้ำ พอกลิ่นเริ่มแห้งไปสักพักกลิ่นดอกไม้ขาวเริ่มแทรกเข้ามาให้ได้กลิ่นมากขึ้น ตามโน้ตก็กลิ่น Jasmine หรือมะลิ แต่เป็นมะลิที่โปร่งใส นุ่ม ครีม หอมเย็น โดยยังไม่ทิ้งความสดชื่นใสของซีตรัสในช่วงแรก รวมกันแล้วให้กลิ่นสดชื่น กลิ่นใส นวล กลิ่นสะอาดสไตล์ Chanel ที่ไม่เหมือนใคร ในช่วงหลังจะมีไม้หอมแทรกคลอมาให้กลิ่นโปร่งนุ่มดูอบอุ่นแต่ไม่อุ่นจนเกินไป ทำให้กลิ่นโดยรวมมีมิติ และดูสะอาดขึ้นไปอีก

เป็น Eau Fraiche ที่ยังคงหอมสดชื่นแบบสะอาด สดใส มีคลาสแบบ Chanel ไม่แพ้รุ่นเดิม ได้กลิ่นแล้วนึกถึงฤดูร้อน การท่องเที่่ยว ช่วงเวลา Summer กิจกรรมกลางแจ้ง สัมผัสของสายลม แสงแดดบนผิว กลิ่นของน้ำทะเล แบบนั้นเลย คงด้วยเพราะกลิ่นพวกซีตรัสที่อยู่ยาวมาจนเกือบจบกลิ่น มันให้อารมณ์ของความโปร่งใส สดชื่นที่เข้ากับอากาศร้อนๆ ได้อย่างดีนั่นละ เลยทำให้นึกถึงช่วงเวลา Summer เป็นอย่างแรก

ส่วนตัวคิดว่ากลิ่นยังคงไม่หนีห่างจากรุ่นเดิม และกลิ่นอื่นๆ ของ Chanel สักเท่าไหร่ เลยทำให้มันดูเป็นกลิ่นที่หอม แต่ไม่ได้พิเศษอะไรในความคิดส่วนตัวของบล็อก กลิ่นคล้ายกับ Allure Homme Cologne, Allure Homme Sport ด้วย ยิ่งทำให้กลิ่นมันคุ้นชินเข้าไปใหญ่สำหรับตัวบล็อกที่ใช้กลิ่น Allure เป็นประจำอยู่แล้ว เพราะมันเป็นโทนกลิ่นที่ตะโกนยี่ห้อ Chanel ออกมาดังๆ เลยละ สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้กลิ่นพวกนี้ประจำอาจจะชอบก็ได้ กลิ่นโปร่งใส หอมสดชื่นแบบนี้ยังไงคนส่วนใหญ่ก็น่าจะชอบกันอยู่มาก เอามาลองใช้จริงหนึ่งวัน ฉีดไป 5 สเปรย์ เกือบครึ่งหลอด ให้กลิ่นหอมโปร่งฟุ้งกระจายดีใช้ได้ในช่วง 2 – 3 ชั่วโมงแรก แล้วกลิ่นเริ่มจะกลายเป็นกลิ่นใกล้ๆ ตัวยาวไป พอช่วงบ่ายๆ ก็ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว ได้กลิ่นแค่ส่วนที่ฉีดบนเสื้อผ้าบางๆ ก็ให้ประสิทธิภาพแบบมาตรฐานไสตล์น้ำหอมแนวสดชื่นแบบนี้เลย

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Dior Miss Dior Parfum [2024]

สวัสดีบล็อก! ห่างหายไปนานกับการเล่าเรื่องลองกลิ่นน้ำหอมอีกแล้ว วันนี้กลับมาพร้อมกับความตื่นเต้นที่จะได้ลองกลิ่น เพราะได้น้ำหอมกลิ่นใหม่ของ Dior ที่ยังไม่เข้าไทยมาลองกลิ่นก่อนที่จะมีโอกาสได้เจอตัวจริง กลิ่นนั้นคือ Miss Dior Parfum รุ่นใหม่ปี 2024 ที่เปิดตัววางจำหน่ายในบางประเทศมาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว ได้แบบการ์ดน้ำหอม ขนาด 1ml มา 2 ชิ้น เลยตั้งใจจะเอามาลองกลิ่นเล่าลงบล็อกแบบรวดเร็วให้สมกับการตื่นเต้น

Miss Dior Parfum วางจำหน่ายทุกช่องทางในประเทศไทยวันที่ 17 เมษายน 2567 โดยมีงานเปิดตัวที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, มีจำหน่าย 3 ขนาด ได้แก่ 80ml ราคา 8,200.-, 50ml ราคา 6,500.- และ 35ml ราคา 4,300.-

Miss Dior Parfum เป็นกลิ่นที่ Francis Kukdjan ได้มานำเสนอใหม่อีกครั้งกับคอนเซ็ปต์ความเยาว์วัย และความเป็นผู้หญิงในยุคปัจจุบัน มีโน๊ตกลิ่นของ Mandarin, Jasmine, Wild Strawberries, Peaches, Apricots, Patchouli, Alaskan Cedar, Moss

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นส้มหอมหวาน ปนกลิ่นพืช และพวกกลิ่นผลไม้ฉ่ำน้ำหวานฉ่ำ โดยที่มีกลิ่นหอมแนว Patchouli หวานคลอมากับกลิ่นสตรอเบอร์รี่ที่ไม่ใช่สตรอว์เบอร์รีสดใสอย่างที่คุ้นเคย แต่เป็นสตรอว์เบอร์รีป่าที่ให้กลิ่นหวานนุ่ม เหนอะๆ เขียวๆ ลอยๆ  ปนกลิ่นดอกไม้คละคลุ้งให้กลิ่นหอมหวานกลมเอกลักษณ์ ช่วงกลางของกลิ่นนั้นให้กลิ่นหอมนุ่มอบอุ่นแบบกลิ่น Amber และไม้หอมโปร่ง และยังคงมี Patchouli หวานๆ ที่ยังไม่หายไปไหนคลอมาตลอดเวลา ช่วงหลังของกลิ่นนั้นยังคงหวาน Patchouli ที่ออกไปทางเหนอะๆ มันๆ เหมือนกลิ่นเครื่องสำอางที่ดูสะอาดสะอ้าน อ่อนนุ่มไปจนจบกลิ่น เป็นแนวกลิ่นที่ค่อนข้างคุ้นเคยเลยกลิ่นของช่วงหลังแบบนี้

กลิ่นมันหอมดีเลยละ กลิ่นดูสดใส ดูเด็กกว่ารุ่น EDP อีก กลิ่นให้ความรู้สึกเหมือนเด็กวัยรุ่นที่มีวุฒิภาวะอะไรแบบนั้น เพราะกลิ่นมันไม่แน่น ไม่แรงเหมือนชื่อ Parfum ความเข้มข้นของกลิ่นหน่ะสิ กลิ่นมันหวานสดใส สว่างไสว ด้วยกลิ่นของส้ม สตรอว์เบอร์รี ดอกไม้อวล และ Patchouli หวานโดดเด่น ที่คล้ายกับกลิ่น Miss Dior รุ่นแรกๆ ที่เน้นกลุ่มสาวยุคใหม่มาก และให้อารมณ์ของ CoCo Mademoiselle จาก Chanel หน่อยๆ ด้วยในช่วงกลางไปถึงช่วงท้ายของกลิ่น ที่ให้กลิ่นหวานกลมเอกษณ์ของ Miss Dior แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือกลิ่นของไม้หอมโปร่งคลอในพื้นหลังที่ทำให้กลิ่นโดยรวมดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนั่นละ

สรุปจากที่ได้ลองกลิ่นคร่าวๆ นั้นก็ได้ความเห็นว่า Miss Dior Parfum นั้นก็เป็น Miss Dior ที่กลับมาเป็นสาวอีกครั้งหลังจาก โตเป็นผู้ใหญ่สุขุมนุ่มลึกในรุ่น EDP ที่ปรับสูตรล่าสุดในรอบที่ผ่านมา ทำให้ Miss Dior Parfum 2024 นี้ น่าจะเหมาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่แทบจะทุกกลุ่มเลยก็ว่าได้ กลิ่นไม่ดูเด็กเกิน ไม่ดูวัยรุ่นไป ไม่ฟรุ้งฟริ้ง ไม่หวานจนเกินไปอย่างแนวน้ำหอมจากหลายๆ ยี่ห้อในปัจจุบันอีกด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่ราคาจาก Dior ที่ปัจจุบันแพงมากๆ แพงอย่างกับน้ำหอม Niche เลย ถ้ามีโอกาสเก็บเงินทันก็จะรอเอามาเก็บสักขวดนึงด้วยละ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Jean Paul Gaultier Classique EDT

ครั้งนี้เอากลิ่นจาก Jean Paul Gaultier มาลองกลิ่นอีกสักครั้ง เลือกกลิ่นผู้หญิงที่เป็นที่นิยมจาก JPG มาลองด้วยกลิ่น Classique EDT ที่โดดเด่นด้วยขวดน้ำหอมรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ ภาพโฆษณาที่ออกมาแบบสวยเซ็กซี่โดดเด่นกว่าใคร ที่แค่เห็นภาพโฆษณาก็ทำให้ใครๆ อยากรู้จักกลิ่น อยากลองกลิ่นขึ้นมาได้

Classique จาก Jean Paul Gaultier ออกมาในปี 1993 มีโน๊ตกลิ่นของ Orange Blossom, Star Anise, Rose, Mandarin Orange, Pear, Bergamot, Ylang-Ylang, Ginger, Orchid, Iris, Tuberose Plum, Vanilla, Amber, Musk, Cinnamon, Sandalwood

กลิ่นเปิดแบบกลิ่นดอกไม้หอมซ่า ดูสดชื่นแปลกๆ ด้วยกลิ่นหอมหวานแบบเครื่องเทศบางชนิด กลิ่นซ่าสปาร์คกลิ้งแบบกลิ่นโซดา กับกลิ่นคล้ายกลิ่นขิงหน่อยๆ ส่งให้กลิ่นดูหอมหวาน นุ่มแบบกลิ่นดอไม้ ผสมกับกลินเรื่องเทศซ่า เรียกว่าให้กลิ่นแบบคลาสสิคตามชื่อ สมกับเป็นกลินน้ำหอมของ “ผู้หญิง” ในอุดมคติด้วยกลิ่น หวานอวล กลิ่นนนวลแแป้งหอมกรุ่น และกลิ่นซาบซ่าแบบเครื่องเทศอบอุ่นในพื้นหลังที่ส่งให้กลิ่นมีมิติสไตลน์น้ำหอมผู้หญิงยุคใหม่

กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ให้กลิ่นสมกับยุค 90 ยุคเริ่มแรกของกลิ่นน้ำหอมผู้ญิงยุคใหม่ จนถึงยุคปัจจุบัน ด้วยกลิ่นหอมหวานแหวกแนว โดดเด่นด้วยกลิ่นแนวดอกไม้หวานจัด ประสานกับกลิ่นเครื่องเทศหวานซ๋าอบอุ่น และกลิ่นนุ่มนวลของวนิลา  Amber ในช่วงท้าย เรียกว่าเป็นต้นแบบของกลิ่นผู้หญิงในยุคหลังๆ เลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่มีกลิ่นไหนมาเหมือน Classique กลิ่นนี้ได้หรอก เป็นกลิ่นหอมหวานที่ตงิดใจ เป็นกลิ่นหอมที่แปลกดีทีเดียว

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Cathy Doll Red Rule EDP

เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาได้น้ำหอมมาขวดนึงเป็นของขวัญปีใหม่ เห็นว่าคนที่ได้แต่ละคนนั้นกลิ่นไม่เหมือนกัน ตัวบล็อกได้สีแดง สงสัยอยู่ว่ามันเป็นน้ำหอม CC ตลาดนัดรึเปล่า มองดูยี่ห้อว่า Cathy Doll ยี่ห้อคุ้นๆ น่าจะเป็นชื่อเครื่องสำอางเกาหลี เพิ่งรู้เลยว่ามีน้ำหอมแบบนี้ขายด้วย โฆษณาบนกล่องว่าเป็นหัวน้ำหอมนำเข้าจากฝรั่งเศส มีความเข้มข้นถึง 25% เลยนะ ทำให้ต้องไปค้นข้อมูลใน Google ดูคร่าวๆ ว่าทำออกมาหลายกลิ่น และหลายกลิ่นก็มีความคล้ายกับยี่ห้อดังหลายกลิ่นด้วย พูดง่ายๆ ก็ Dupe ยี่ห้อดังละมั้ง มาลองกลิ่นดูดีกว่าจะได้หายสงสัย

ลองฉีดดูกลิ่นนี้ให้กลิ่นหอมหวานไสตล์น้ำหอมผู้หญิง หญิ๊ง หญิง แนวกลิ่นเบอร์รี่ หวานแบบกลิ่นผลไม้สังเคราะห์ เป็นกลิ่นคมๆ ที่ให้รู้สึกแบบลูกแพร์ อ่อนอ่อนหวาน ฉ่ำน้ำผสมกับเบอร์รี่หวานกลม ปนกลิ่นหอมนวลแนวมักส์ วนิลาจางๆ  แต่ส่วนใหญ่ถูกกลิ่นเบอร์รี่หวานกลบไปหมด กลิ่นแบบนี้ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นน้ำหอมวัยรุ่นที่เจอได้ตามร้านสะดวกซื้อบ่อยๆ

กลิ่นหลักที่ได้กลิ่นคือ “กลิ่นหวาน” หวานแนวผลไม้ ไม่เชิงจะ Bubble Gum นัก เพราะมีกลิ่นแนวดอกไม้ กับมักส์นวลๆ ที่ให้กลิ่นช่วงหลังหวานหืน เหนอๆ ไม่สดใสตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็เป็นคำที่บรรยายให้ภาพของกลิ่นได้ชัดเจนสุดแล้วละ ส่วนตัวแล้วกลิ่นไม่ได้รู้สึกหอมหรู ดูแพง เหมือนคำเชิญชวนสักเท่าไหร่ เหมือนกลิ่นสาววัยใสที่เพิ่งเริ่มใช้น้ำหอมมากกว่า

สรุปเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย แต่เจาะจงไม่ได้ว่ากลิ่นเหมือนน้ำหอมยี่ห้อแพงยี่ห้อไหน เพราะกลิ่นมันธรรมดาพบเจอได้ทั่วไป เลยแอบเสียดายนิดๆ ที่ไม่ใช่กลิ่น Dupe ยี่ห้อแพงอย่างที่คนอื่นเจอกันในกลิ่นอื่นจาก Cathy Doll ไว้เจออีกจะหยิบเอามาลองกลิ่นครั้งต่อไป

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น W.DRESSROOM New York No.97 April Cotton Eau de Cologne

ได้น้ำหอมแปลกๆ มาลองกลิ่น ตอนแรกไม่รู้ว่ามันคืออะไร คิดว่าเป็นน้ำหอมปรับอากาศซะอีกด้วยกลิ่นมันที่แรงฟุ้งสะใจ และยี่ห้อที่ไม่รู้จัก อ่านป้ายหน้าขวดถึงได้รู้ว่ามันคือน้ำหอมทั่วไปนี่ละ คิดว่ากลิ่นมันหอมดีเหมือนกันเลยเอามาลองกลิ่นลงบล็อกซะเลย

น้ำหอมจากยี่ห้อ W.DRESSROOM New York นี้คิดว่าส่วนใหญ่จะเป็นแนวกลิ่นอเนกประสงค์ที่ใช้สำหรับกลบกลิ่นเสื้อผ้า หรือกลบกลิ่นต่างๆ แบบอเนกประสงค์ เป็นกลิ่นแบบ Water-Based ให้กลิ่นหอมธรรมชาติที่ติดยาวนาน ประมาณนี้ โดยกลิ่น No.97 April Cotton ให้กลิ่นแนว Citrus – Musk มีโน้ตกลิ่นของ

  • Top: Lime, Bergamot, Pear, Anise, Clove
  • Heart: Rose, Violet, Lily of the valley
  • Base: Musk, Amber, Vanilla, Honey

กลิ่นเปิดให้กลิ่นหอมสะอาด แบบกลิ่นแป้งเด็กหรู หอมชุ่มชื้นที่ไม่เหมือนกลิ่นแป้งแห้งๆ แบบที่คุ้นชิน เป็นกลิ่นที่โปร่ง เย็นชื้น สดใส สะอาดสะอ้าน ที่ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นผ้าที่ซักตากแดดใหม่ หอมๆ อุ่นๆ แต่ก็สัมผัสเย็น หอมสมกับที่ใครๆ ก็ตามหามาใช้ตามดาราเกาหลีจริงๆ กลิ่นหอมสะอาดที่ดูสดสด ดูเด็ก เยาว์วัย

ส่วนตัวแยกโน๊ตกลิ่นตามหน้าเว็บไม่ออกเลย ไม่มีความรู้สึกถึงกลิ่นซีตรัส กลิ่นวนิลา อะไรทั้งนั้น เป็นกลิ่นที่โทนเดียวแนวสังเคราะห์ ไม่ซับซ้อนอะไร ให้กลิ่นที่หอม Simple ที่คนส่วนใหญ่ชอบ กลิ่นที่เข้าถึงง่ายแบบนี้นี่เองใครๆ ถึงก็ว่ามันหอม

กลิ่นนี้ April Cotton นี้เหมาะกับเป็นน้ำหอมฉีดบนเสื้อผ้ามาก ฉีดแล้วกลบกลิ่นอับนิดๆ ที่บางทีเกิดขึ้นได้เวลาซักเก็บไว้นานไปหน่อยได้ดี ทำให้ผ้ามีกลิ่นดูสะอาด ซักใหม่ขึ้นมาได้เลย แต่คงช่วยกลิ่นผ้าซักไม่แห้งเวลาฝนตกไม่ได้หรอกนะ ฉีดแล้วคงจะเหม็นไปกันใหญ่ ว่าแต่ถ้าเกิดชอบถูกใจใช้ขวดที่ได้มาหมดแล้วมันมีขายทั่วไปรึเปล่านะ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น GATSBY White Up 3 สี

บล็อกนี้อาจจะดูเก่าหน่อยดองเอาไว้นาน เพราะรู้สึกว่า GATSBY จะมีอัพเดทกลิ่นใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 2 กลิ่นแล้ว ไปเจอน้ำหอม GATSBY ที่ร้านญี่ปุ่นใน Central Korat เป็นน้ำหอมผู้ชายมี 3 กลิ่น ลองกลิ่นสีแดงที่มีน้อยน่าจะขายดีสุดดูกลิ่นหอมดีเ น่าสนใจเลยหยิบมาลองกลิ่นทั้ง 3 สี

ในเว็บไซต์ของประเทศไทยก็ไม่มีข้อมูลละเอียดมากมาย แค่บอกว่าแต่ละกลิ่นให้อารมรณ์ไหน กับโน้ตกลิ่นคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ตามสไตล์น้ำหอมร้านสะดวกซื้อ

กลิ่นแรกสีแดง GATSBY WHITE UP BLANC WOOD EDT บรรยายไว้ว่า “หรูหรา น่าหลงใหล และเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร” มีโน้ตกลิ่นของ BERGAMOT, MANDARIN ลองกลิ่นแล้วให้กลิ่นหอมสดชื่นติดหวานแบบขนม หวานวนิลาสังเคราะห์ เป็นความหวานที่รู้สึกสะอาด หวานกลมฉ่ำทำให้กลิ่นดูกระฉับกระเฉง ไม่หวานอบอุ่น เลยฉีดช่วงอากาศร้อนได้แบบไม่ฉุนเกิน กลิ่นรวมๆ ก็ยังคงให้กลิ่นแบบพวกน้ำหอมจากผลิตภัณฑ์ของผู้ชายสปอร์ทๆ แต่มันมีความหวานแปลกที่ว่าฉีกออกมาทำให้กลิ่นนี้โดดออกมาจากเพื่อน ดูแตกต่างแบบน่ารัก สะอาดๆ

ต่อมากับ GATSBY WHITE UP SKY REFLECTION EDT บรรยายไว้ว่า “หอมสะอาด สดชื่น แฝงดวยความอ่อนละมุน” มีโน๊ตกลิ่นของ BERGAMOT, LEMON, VIOLET LEAVES ให้กลิ่นซีตรัสสดชื่น กลิ่นเขียว Violet บางๆ  แซมกลิ่นเลมอน หอมโปร่งใสในช่วงต้น พอกลิ่นแห้งสักพักกลับให้กลิ่นซีตรัสที่ไม่ใส ไม่คม แทรกมาด้วยกลิ่นหวานอึนๆ แบบมักส์นวลเนียน และเหนอะหน่ะ แต่ก็ดูสะอาด สดชื่นแบบบอดี้สเปรย์ กลิ่นติดตัวในช่วงหลังนั้นค่อนข้างแปลก บางทีก็หอม บางทีก็ให้กลิ่นสาปหวานเหนอะพึลึก

กลิ่นสุดท้าย GATSBY WHITE UP PLATINUM WAVE EDT ชื่อกลิ่นดูผู้ชาย ดูเท่ห์ น่าใช้ บรรยายกลิ่นไว้ว่า ” สปอร์ต มีชีวิตชีวา และดูดีมีระดับ” มีโน้ตกลิ่นของ CITRUS, ROSEMARY, CARDAMOM กลิ่นนี้ให้กลิ่นซีตรัสที่หอมสดชื่นคล้ายขวดสีฟ้า แต่ให้กลิ่นที่ทึบกว่า นุ่มหรูกว่า กลิ่นซีตรัสที่หวานติดเปรี้ยวครึม กลิ่นไม่สดใส สดชื่นเท่าขวดสีฟ้า หลังจากกลิ่นแห้งไปแล้วให้อารมณ์ไม้หอมฟุ้งๆ ซ่าๆ คลอกับกลิ่นหวานช่วงต้นไปจนจบ

ทั้ง 3 กลิ่นนั้นให้อารมณ์กลิ่นคล้าย จนถึงคล้ายกันมาก จะมีขวดสีแดงที่กลิ่นต่างมากหน่อยด้วยกลิ่นแนวนิลาหวานกว่าใครเขา และเป็นกลิ่นที่น่าจะขายดีด้วยดูจากในชั้นวาง ขวดสีแดงเหลือน้อยกว่าเขาเพื่อน จัดเป็นน้ำหอมราคาประหยัดที่ให้กลิ่นสะอาดสดชื่น ถึงจะรู้ว่ามันเป็นกลิ่นสังเคราห์แต่รวมๆ มันก็หอมให้อารมณ์น้ำหอมดีไซน์เนอร์ได้อยู่ ประสิทธิภาพก็สมราคาอีกต่างหาก สำหรับ 3 กลิ่นนี้ขอแนะนำให้ฉีดลงบนผิวจะรู้สึกถึงกลิ่นที่หอมมีมิติ สัมผัสโน้ตกลิ่นสังเคราห์ต่างๆ ได้ชัดขึ้น และหอมกว่าฉีดบนเสื้อผ้าอีกด้วย

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น AMOUAGE Honour Man + Gold Man

ลองกลิ่นแรก Honour Man EDP เป็นกลิ่นที่ออกมาตั้งแต่ปี 2011 เป็นกลิ่นที่บรรยายไว้ว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้หวนรำลึกถึงอดีต เรื่องราวของความสัมพันธ์อะไรทำนองนั้น มีโน๊ตกลิ่นที่ยกมาจากเว็บไซต์ระบุไว้ระเอียดเลย

  • Top Notes: Pink Pepper, Black Pepper.
  • Heart Notes: Geranium, Nutmeg, Elemi.
  • Base Notes: Patchouli, Frankincense, Cedarwood, Vetiver, Tonka Bean, Musk.

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นพริกไทยฟุ้ง เครื่องเทศซ่าตลบ ให้กลิ่นหอมเย็นแบบเครื่องเทศแห้ง โปร่ง แบบหอมสบายจมูกเลยทีเดียว เป็นกลิ่นที่เหมือนร้านขายยาจีน ร้านขายเครื่องเทศ ปนกับกลิ่นยาแก้ไอน้ำดำที่ไม่ชุ่มฉ่ำ แต่โปร่งเบา ฟุ้งมากมาย กลิ่นหลักๆ รู้สึกได้เท่านี้ แต่ก็รู้สึกถึงกลิ่นแบบ Geranium คลอพอให้กลิ่นดูมีอะไรไม่แห้งเหือดซะทีเดียว เป็นกลิ่นแบบนี้ไปจนช่วงหลังของกลิ่นเลย

กลิ่นนี้มันเฉพาะทางมากจริงๆ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ได้ลองกลิ่นมาก่อน เป็นกลิ่นหอมแนวเครื่องเทศจ๋า ไม่ฟรุตตี้ ไม่ดอกไม้อะไรทั้งนั้น เครื่องเทศ ไม้หอมทั่งแท่งเลยทีเดียว แต่จะหาว่าไปช่วงกลางมันจะมีกลิ่นหวานแบบกลิ่นน้ำผึ้งตุ่น แซมไม้หอมโปร่งๆ เข้ามาแบบหล่อสไตล์ตะวันออกกลาง กลิ่นนี้ค่อนข้างหนัก เนื้อกลิ่นดูโปร่ง ฝุ่นที่อาจจะแสบจมูกได้บางครั้ง เข้ากับอากาศที่ไม่ร้อนมากได้ เหมาะสุดเวลากลางคืน


ต่อมา Gold Man EDP เป็นกลิ่นแรกๆ ของแบรนด์ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1983 บรรยายกลิ่นไว้ว่าเป็นกลิ่นที่ Sultan Qaboos มอบเป็นของขวัญให้กษัตริย์ทั่วโลกทีไ่ด้พบปะ กลิ่นที่แสดงถึงความมั่งคั่งของสุลดาลของโอมาน มีโน๊ตกลิ่นของ

  • Top Notes: Rose, Lily of the Valley, Frankincense
  • Heart Notes: Jasmine, Orris, Myrrh
  • Base Notes: Ambergris, Civet, Musks, Cedarwood, Sandalwood, Oakmoss, Patchouli

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นดอกไม้ Flaral แบบ Vintage จัดๆ กลิ่นแบบ Lily of The Valley หมอเหนอะๆ คาวๆ พอกลิ่นเริ่มแห้งสักพักกลิ่นเให้ความฉุน ทึบแบบกลิ่นนน้ำหอมเก่าตามโกดังญี่ปุ่น เป็นกลิ่นที่ชวยงุนงง ว่านี่เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ปรุงในยุคใหม่จริงหรือนี่ ช่วงกลางของกลิ่นให้กลิ่นหอมแห้งของดอกไม้ แบบกลิ่นดอกมะลิยุคเก่า อบอุ่นด้วยเครื่องเทศพวก Ambergris กับความคาวคมๆ แนวกลิ่น Civet คลอมาแบบไม่เปิดเผยตัว ช่วงหลังของกลิ่นเมื่อทุกอย่างเริ่มปล่อยตัวลง เซ็ตตัวได้ที่แล้วให้กลิ่นที่หอมนุ่มแนวเครื่องเทศแห้ง ปน Civet คาว เขียวบางๆ ดูอบอุ่น Cozy ใช้ได้ แต่ช่วงท้ายของกลิ่นทิ้งความสาบไว้บนผิวรุนแรงไปหน่อยไม่ชอบเลย

กลิ่นมันหอมนะอย่าเข้าใจผิด แต่กลิ่นเปิดและโทนกลิ่นหลักๆ มันให้อารมณ์น้ำหอมผู้หญิงยุคเก่าชัดเจนเลยทีเดียว อย่างกับ Chanel N5 ยุคที่ออกมาใหม่ๆ ซะอย่างนั้น มีความ Floral ฟุ้งระเบิด ระเบ้อ กลิ่นดอกไม้แห้งๆ ปนกลิ่นแบบ Civet ที่เชิญชวนให้ดม กลิ่นคมชัดแบบนีเนี่ย เอาตรงๆ ไม่กล้าเอาไปใช้งานจริงในปัจจุบันเลย เอาไว้ฉีดก่อนนอนพอได้อยู่สำหรับคนที่ชอบกลิ่นแนว Vintage กลัวใช้ตอนกลางวันแล้วคนจะเบือนหน้าหนีหน่ะสิ มันไม่เข้ากับยุคสมัยสักเท่าไหร่ สมกับรีวิวต่างประเทศที่ว่ากลิ่นมันให้อารม์ของ Old Lady Fragrance ซะจริงๆ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Tom Ford Noir Extreme EDP [2015]

Tom Ford ชื่อนี้หากคิดถึงเรื่องน้ำหอมก็นึกได้อย่างเดียวว่า “ราคาแพงมาก” เพราะทุกกลิ่นจาก Tom Ford ก็แพงมากจริงๆ แต่ก็ได้กลิ่นที่ราคาแพงสมราคาอีกด้วย เรียกว่าไม่น่าผิดหวังหากตัดสินใจซื้อสักกลิ่นจาก Tom Ford ตัวบล็อกเองก็ห่างหายจากยี่ห้อนี้ไปนานก็เพราะราคานี่ละ ฉะนั้นหากมีโอกาสได้หยิบเอามาลองกลิ่นในราคาไม่แพงมากก็ไม่ลังเล อย่างขวดนี้ Tom Ford Noir Extreme ได้ขวดขนาดเล็ก 10ml ขวดสเปรย์ขนาดพกพาในราคาดีๆ มาลองกลิ่นกัน

Tom Ford Noir Extreme ออกมาในปี 2015 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Amber Woody ที่มีโน้ตกลิ่นของ Mandarin, Neroli, Saffron, Cardamom, Nutmeg, Kulfi accord, Pistachio Rose, Jasmine, Orange Blossom, Amber, Sandalwood, Vanilla

กลิ่นเปิดมาแบบเครื่องเทศหอมเย็น กลิ่นมันคล้ายกับเหล้าซ่าๆ ติดหวานหน่อยๆ ให้ความรู้สึกแรกของความหรู แพง และน่าหลงใหล เป็นกลิ่นเปิดที่ทำให้คำว่า “น่าหลงใหล” มันมันยังไงก็กลิ่นเปิดกลิ่นนี้เลย กลิ่นมันชัดเจน ไม่แน่น ไม่ฉุน กลิ่นหอมเครื่องเทศกลมกล่อมที่ใสกริ๊ง แทรกความหวานสดชื่นในพื้นหลัง ในช่วงกลางกลิ่นเริ่มมีความนวล แห้งละเอียดขึ้น แบบกลิ่นแป้งหอมราคาแพง ที่ยังคงให้กลิ่นเครื่องเทศเมื่อช่วงต้นคลอมาพร้อมมีกลิ่นดอกไม้แนวกุหลาบคลุ้งในเนื้อกลิ่นที่รู้สึกได้ชัด ยิ่งทำให้กลิ่นดูอย่างหรูเลย ก่อนที่ในช่วงหลังของกลิ่นจะกลายเป็นกลิ่นแบบแป้งหอมเนียนนุ่ม อบอุ่น ติดไม้หอมนิดๆ คลอไปเป็นกลิ่นติดตัวยาวนาน เกือบทั้งวัน

จะบอกว่ากลิ่นที่สัมผัสแรกนั้นมันเหมือนกลิ่นเหล้าจริงๆ นะเออ กลิ่นเหล้า กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หวานๆ ไม่รู้สึกถึงโน๊ตกลิ่นอะไรที่บอกไว้เลย กลิ่นมันนัว มันกลมกลืน คละคลุ้งกันไปหมด แบบว่ากลิ่นมันแพง กลิ่นมันหล่อ Sexy มาก บอกได้เต็มปาก กลิ่นแบบนี้เหมาะกับตอนไปออกเดท ไปนัดเจอคนสำคัญ เลยละ กลิ่นมันสมกับชื่อ Noir ดีจริงๆ  สมกับเป็นกลิ่นจาก Tom Ford ที่แยกโน๊ตกลิ่นอะไรไม่ออกจากกลิ่นอย่างเคย แนะนำคนที่อยากได้กลิ่นหรู และหล่อ ไปหามาลองกลิ่นกันดู

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Guy Laroche Drakkar Noir EDT [1982]

Guy Laroche Drakkar Noir ขวดทรงรีสีดำที่เคยเห็นชินตามาตั้งแต่เด็ก รู้แค่ว่าเป็นน้ำหอมผู้ชาย ไม่เคยอยากจะเอามาลองกลิ่นเพราะมันเห็นมาตั้งแต่เด็กจนเคยชิน แต่ก็ถึงเวลาที่จะหยิบกลิ่นนี้มาลองสักที ด้วยที่ว่าได้ขวดเล็ก 30ml มาในราคาไม่แพง ขวดมันเล็กน่ารักดีด้วยละขนาดเล็กนี่นะ

Drakkar Noir เป็นกลิ่นที่ออกมาตั้งแต่ปี 1982 แต่ก็ยังเป็นที่นิยม และอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แรกเริ่มด้วยโน๊ตกลิ่นมากมายสไตล์ยุค 80s ที่มีโน้ตของกลิ่นต่างๆ ซับซ้อน ที่ให้แนวกลิ่น Aromatic Fougere หรือว่า กลิ่นแบบน้ำหอมที่มีความเป็นผู้ชายโดดเด่น มีความนุ่มลึก มักนำด้วยกลิ่นของ Lavender อะไรแบบนั้นละ

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นเขียวคมสดชื่นระเบิดใส่จมูก ปนกลิ่น Lavender และซีตรัสคมๆ กลิ่นหอมพฤษาเหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ เมื่อผ่านไปสักพักกลิ่นเริ่มมีความอุ่นขึ้น มีกลินเหมือนเครื่องเทศอบอุ่นแทรกขึ้นมาในกลิ่นหอมเย็นจากกลิ่นเปิด โดยที่กลิ่นยังคงความเขียวสดชื่นอยู่ไม่หายไปไหน รวมกันให้กลิ่นที่รู้สึกดีมากช่วงนี้บอกไม่ถูก ช่วงหลังกลิ่นลดความสดชื่นลงมีกลิ่นแบบหนัง – ไม้หอม มาเสริมในพื้นหลังทำให้กลิ่นติดตัวแบบหอมคลาสสิค แบบเพิ่งออกจากร้านตัดผมเลย ให้กลิ่นหอมสะอาด กลิ่นแบบสบู่ ครีมโกนหนวดแบบนั้นติดผิวไปตลอด

กลิ่นมันหอมแบบนี้ไงถึงว่าทำไมมันถึงอยู่มาได้ยาวนานจนถึงปัจจุบัน กลิ่นหอมสดชื่นของผู้ชายที่คลาสสิค หอมสะอาด กลิ่นเหมือนอาบน้ำมาใหม่ๆ ใครๆ ก็ชอบกลิ่นแบบนี้แน่นอน แต่ก็จะมีบางคนละที่ว่ากลิ่นแบบนี้มันแก่ มันโบราณ ซึ่งก็ไม่ผิดกลิ่นแบบนี้มันมีมานานแล้ว มันเป็นต้นแบบกลิ่นต่างๆ ของน้ำหอมผู้ชายในยุคหลังนี่และ และบางทีต่อไปคนคนนั้นที่ไม่ชอบกลิ่นในตอนนี้ก็อาจจะหันมาชอบกลิ่นแบบนี้ในอนาคตก็ได้ใครจะไปรู้

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Kenzo Homme EDT [2022]

ครั้งนี้จะมาลองกลิ่น Kenzo กลิ่นที่สามของบล็อก แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าไม่ได้มองน้ำหอมของ Kenzo เอามาลองกลิ่นสักเท่าไหร่ทั้งที่มีของแปลกเยอะ และราคาไม่แพงมากด้วย ครั้งนี้เลยจับเอา Kenzo Homme EDT ตัวที่ออกมาปี 2022 หรือน้ำหอมที่ขวดรูปร่างปล้องไม้ไผ่ ที่คุ้นคุยกันในอดีตชื่อ Kenzo Pour Homme ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1991 นั่นเอง โดยในชุดใหม่ที่ออกมานี้มีออกมาถึง 4 รุ่นแล้วด้วยกันเร็วมาก

Kenzo Homme EDT ออกมาปี 2022 มีโน๊ตกลิ่นของ Sea Notes, Calypsone, Nutmeg, Pine, Patchouli, Sandalwood, Cedar

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นหอมเย็น นวลแบบแป้งหอมละมุน แทรกกลิ่นเค็มฉ่ำน้ำฟุ้งเต็มปอด ในกลิ่นมีกลิ่นอะไรสักอย่างที่หวาน คล้ายเครื่องเทศบางๆ ผสมกับกลิ่นPine ที่รวมกันแล้วให้กลิ่นหอม Aquatic แต่ก็ให้อารมณ์กลิ่นดอกไม้แนวแป้งหอมที่ออกหวานเครื่องสำอางค์ แต่ไม่ใช่หวานแบบของกิน และเค็มแบบน้ำทะเล ที่มีความนุ่มละมุนแบบแป้งหอมเล็กๆ แต่ก็สดชื่นดีพิลึก

กลิ่นหอมแปลกมาก กลิ่นเค็มแบบกลิ่นทะเลผสมกับกลิ่น Pine หรือกลิ่นต้นสน ปนกับกลิ่นไม้หอมนุ่ม ที่ให้กลิ่นคลุ้งอวลเหมือนทาแป้งหอมฟุ้งเต็มห้องอย่างนั้นเลย ให้กลิ่นโดยรวมที่ออกมทางสดชื่น ไม่โปร่งมาก เนื้อกลิ่นแน่นกำลังดี กลิ่นหลังจากเซ็ตตัวแล้วมันหอมดีเลยละ กลิ่นเค็มๆ นวลๆ ฟุ้งๆ กลิ่นดูเป็นผู้ชายง่ายๆ ขี้เล่นเข้าถึงง่ายน่าเอาใส่กระเป๋ากลับบ้าน อะไรแบบนั้น

ประสิทธิภาพจากที่ได้ลองใช้ก็ค่อนข้างดี กลิ่นกระจายตัวฟุ้งกำลังดี ความทนก็ไม่น่าเกลียดประมาณ 5-6 ชั่วโมง บางครั้งก็ได้กลิ่นอยู่ทั้งวันก็มี แล้วแต่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดลงไปด้วย คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจกดซื้อมา ตอนแรกแค่กะมาลองกลิ่นเฉยๆ เห็นขวดมันสวยดี ปล้องไผ่สีฟ้าน่ารัก ได้ลองกลิ่นแล้วก็ถูกใจอีกด้วย หอมดี เข้ากับอากาศร้อนที่กำลังกลับมาด้วย

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น HERMES Terre D’Hermes EDT [2006]

ถึงคิว HERMES Terre D’Hermes รุ่น EDT มาลองกลิ่นแล้ว กลิ่นที่โด่งดัง ได้รางวัลมาด้วยตอนออกใหม่ๆ แต่ก็ไม่เคยลองกลิ่นเลย เพิ่งได้ลองตัว Perfum มาไม่นานนี้กลิ่นหอมติดใจ รอจนหาขวดเล็กแบบสเปรย์มาได้ก็เอามาลองกลิ่นเล่าให้อ่านกัน

HERMES Terre D’Hermes EDT ออกมาในปี 2006 ให้กลิ่นแนว Wooddy Spicy ด้วยโน้ตกลิ่นของ Orange, Grapefruit, Pepper, Pelargonium, Flint, Vetiver, Cedar, Patchouli, Benzoin

เปิดมาแบบกลิ่นส้มขมๆ พร้อมกับกลิ่นเครื่องเทศที่เป็นกลิ่นโปร่งใส ให้กลิ่นซ่าโปร่งที่ไม่หนัก พอกลิ่นแห้งไปสักพักเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นแนว Vetiver ชัดเจน ให้กลิ่นหอมเนียนมีความเขียวใสนิดๆ พอสดชื่น แล้วก็ให้กลิ่นแบบนี้ไปยาวๆ เลย

เป็นน้ำหอมกลิ่นแบบ Aromatic เบาๆ ที่ให้กลิ่นแบบน้ำหอมผู้ชายนำมาแต่ไกล รู้สึกกว่ากลิ่นจะคล้ายกับรุ่น Parfum มาก ก็ต้องคล้ายสิรุ่น EDT ออกมาก่อนตั้งนานถือว่าเป็นต้นแบบของกลิ่นเลย กลิ่นสดชื่นจากผลไม้พวกซีตรัสที่ไม่เป็นผลไม้เกินไป ผสมกับความซ่าเย็นแบบกลิ่นเครื่องเทศตัดความใส ตบท้ายด้วย Vetiver ที่เนียนนุ่มแบบไม่เหม็นเขียว หรือชวนเวียนหัวเลย

กลิ่นหอมแนว Old School แต่ก็ไม่ดูแก่ แต่ก็ไม่เชิงจะเด็กวัยรุ่น เอาเป็นว่ากลิ่นมันหอม กลิ่นมันหล่อดีละกลิ่นนี้ กลิ่นหอมใส ไม่ทึบ กลิ่นค่อนข้างบางเบา สามารถใช้ตอนอากาศร้อนแบบนี้ได้ด้วย ไม่ฉุนฟุ้งแนวไม้หอมเกินไป

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Kenzo Flower by Kenzo Eau De Vie Edp Legere 50ml [2019]

Flower by Kenzo เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Floral ที่ออกมาในปี 2019 ออมาด้วยแรงบันดาลใจจากกลิ่น Flower ดั้งเดิมที่โดงดัง โดยนำเสนอใน Concept กลิ่นของการตกหลุมรักในบางสิ่งบางอย่าง, รักในการใช้ชีวิต, การหลงใหลในการใช้ชีวิต มีโน้ตกลิ่นของ Ginger, Neroli, Orange Blossom, Bunlgarian rose absolute, Tonka, White musk

กลิ่นเปิดมาเขียวคม แบบกลิ่นพวกตระกูุลซีตรัสที่ให้กลิ่นเขียวสดชื่น ตัดกับกลิ่นนวลแป้งๆ ที่คลอมาในพื้นหลัง รวมกันแล้วให้กลิ่นเปิดที่แปลกดี เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่กลิ่นแป้งเริ่มชัด และหนักขึ้นแบบแป้งชื้น ติดเขียวบาง มีกลิ่นแบบ Orange Blossom ที่คุ้นเคยลอยคู่กันมาแบบโปร่งใส ทำให้กลิ่นแป้งที่ชื้น ฉุน ดูโปร่งขึ้นมาได้บ้าง แต่โดยรวมกลิ่นช่วงกลางนี้ก็ยังให้กลิ่นแป้งที่หนักทึบหน่อยๆ อยู่ดี เป็นกลิ่นแบบนี้อวลไปจนจบกลิ่น ที่ให้กลิ่นนวลบางๆ ติดตัว

ยังคงเป็น Flower น้ำหอมกลิ่นแป้งหอมกรุ่นเหมือนรุ่นแรก แต่ในรุ่นนี้กลิ่นแป้งออกจะฉุน กลิ่นทึบ ติดเขียวแปร่งๆ กลิ่นไม่โปร่งเบาสบาย ไม่ดูน่ารัก ไม่สาววัยใสอะไรแล้ว เป็นกลิ่นที่จริงจัง อบอุ่น เป็นการเป็นงานออกไปทางนั้นมากกว่า ส่วนตัวคิดว่ามันหอมแต่ไม่ทันสมัยเลย กลิ่นเหมือนแป้งฝุ่นตรางูที่ทิ้งไว้ในห้องน้ำนานนับปี ที่ให้กลิ่นอับๆ เย็นๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมดับกลิ่นกลิ่นส้มราคาถูก แบบนั้น

จะว่าไปมันก็เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้นึกถึงสมัยเด็ก เหมือนกลิ่นของอะไรสักอย่างที่นึกไม่ออก เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยจริงๆ เอาเป็นว่าใครชอบกลิ่นแป้งหอมต่างๆ ก็น่าจะถูกใจกับรุ่นนี้ได้ไม่ยาก ส่วนใครที่ไม่ชอบกลิ่นแป้งฝุ่น หืน ชื้น ทึบ ให้หลีกหนีไปให้ไกลเชียว

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

ลองชิม เบียร์ตะวันแดง Rose [Tawandang German Brewery Rose Beer]

เบียร์ตะวันแดง จะบอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่บล็อกได้ยินชื่อยี่ห้อนี้ ไม่เคยได้ยินยี่ห้อเบียร์ชื่อนี้มาก่อน รู้จักแต่ร้านตะวันแดงที่เป็นร้านเหล้าเท่านั้น กระป๋องนี้เจอที่ตู้แช่ในโลตัส มีสองสี สีขาวธรรมดา กับสีชมพูที่เขียนว่า Rose Beer นึกสนุกอยากลองชิมว่า Rose ยี่ห้ออื่นที่ทำมาตามๆ กันจะรสชาติไปทางไหนกันบัางเลยหยิบมาลองชิมดู

กลิ่นหอมเหมือนเครื่องดื่ม Spy สีชมพู ที่ไม่ได้เหมือนพวกกลิ่นเบอร์รี่เท่าไหร่ ชิมคำแรกรู้สึกได้ถึงความซ่าตามด้วยรสหวานแบบเดียวกับกลิ่น ให้ความสดชื่นซาบซ่าดีจนนึกว่าดื่มสปายฯ อยู่ จะรู้สึกถึงรสเบียร์มันๆ ติดลิ้นช่วงท้ายหลังดื่มหน่อยนึง

รสหวานหอมอร่อย ซ่าจนนึกว่าเป็นพวกไวน์ผลไม้ซ่าๆ ซะอีก เป็นเบียร์สีชมพู Rose ตามสมัยนิยมที่ให้กลิ่นเบอร์รี่ไม่แรง รสไม่นัว เหมือนยี่ห้ออื่น แต่ให้รสที่บาง สดชื่น ไม่เหนียวปาก นี่คิดว่าหากที่กระป๋องไม่ได้เขียนว่า เบียร์ ก็ไม่คิดว่าเป็นเบียร์หรอก อร่อย ดื่มง่าย มีแอล 4% มาตรฐาน ปริมาณ 490มล. ราคา 60 บาท ราคาปกติของเบียร์แนวนี้รับได้ และน่าจะได้หยิบมาดื่มอีกหลายครั้งแน่นอน

Perfume Blog: ลองกลิ่น BVLGARI Le Gemme Desiria EDP 30ml

สวัสดีปีใหม่! ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในทุกอย่างที่คิดไว้ในปีนี้ทุกคนเลยนะครับ! วันนี้ได้น้ำหอมกลิ่นกุหลาบจากไลน์ Le Gemme ของ BVLGARI มาลองกลิ่น นั่นคือกลิ่น Desiria ได้มาเป็นชุดบริการบนเครื่องบินของสายการบินนึง มาเป็นชุดกระเป๋าพร้อมของใช้ของชั้น Business Class ในกระเป๋าจะมีอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงน้ำหอมของ BVLGRI ด้วย หรูหราครบครันสมราคาค่าตั๋วมาก ได้มาแล้วก็ขอลองกลิ่นสักที โดยกลิ่น Desiria เป็นกลิ่นที่ออกมาเมื่อปี 2016 ให้กลิ่นของกุหลาบเป็นหลักผสมผสานกับ Champaca อันมีมนต์เสน่ห์ ด้วยโน้ตกลิ่นจาก Magnolia, Rose, Musk

กลิ่นเปิดให้ความหอมมันนุ่ม เหนอะๆ ที่ให้ความรู้สึกสะอาด กลิ่นแนวผ่อนคลาย ตามมาด้วยกลิ่นอมเปรี้ยวติดหวานระเรื่อแบบกลิ่นของกลีบกุหลาบที่เด็ดออกมาจากดอก รวมกับกลิ่นเปิดแล้วยิ่งทำให้กลิ่นหอมสะอาดสะอ้านมาก ให้กลิ่นหอมนวลปนกับกลิ่นกุหลาบอมเปรี้ยวบางๆ คลุ้งไปทั่ว กลิ่นดูธรรมดาแต่มันกลับดูหรูหรายังไงม่รู้ ไม่ต้องมีกลิ่นซับซ้อนอะไรมากมาย

กลิ่นนี้จาก Le Gemme ให้กลิ่นกุหลาบที่หอมนวล แต่โปร่งใส เป็นกุหลาบสะอาดๆ มีระดับ ไม่คุณหนู ไม่สดใส ฟรุ้งฟริ้ง แต่เป็นกุหลาบที่สุขุม เรียบง่าย น่าให้เกียรติแบบนั้นมากกว่า เรียกว่าเป็นกุหลาบอีกมุมนึงที่อาจจะไม่ค่อยได้เจอ เป็นมุมที่ดูเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล น่าคบหามาก ชอบกลิ่นนี้เลยหลังจากได้ลองกลิ่น ถ้าไม่ได้ชุดขนาด 30ml มาก็คงไม่มีโอกาสได้เอามาลองกลิ่นแน่ อยู่ในไลน์ราคาแพงขนาดนั้น

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น น้ำหอมน่องไก่ทอด KFC Eau D’Uardo EDT 50ml [2023]

วันนี้จะมาลองกลิ่นของแปลกที่ไม่คิดว่าจะได้มาลองกลิ่นในบล็อก เพราะมันไม่ได้มีขายทั่วไป มันคือน้ำหอม KFC น่องไก่ หรือ KFC Eau D’Uardo เป็นน้ำหอมที่ทาง KFC ประเทศ Spain ทำออกมาขายแบบ Limited โดยขวดที่ได้มาก็ได้มาแบบแย่งชิงตบตีกับคนอื่น แย่งกัน F ในกลุ่มน้ำหอม ด้วยความที่เห็นว่าขวดมันแปลก และมันก็เป็น KFC ไก่ทอดที่บล็อกชอบเป็นการส่วนตัวเลยคิดว่าน่าจะเอามาเก็บไว้สักขวด เลยใช้วิชา F ของ ที่ฝึกฝนมาอย่างดี F แย่งมาจนได้

รายละเอียดของกลิ่นก็หาไม่ค่อยได้ แต่เจอโน้ตกลิ่นคร่าวๆ ว่ามีโน้ตของ Geranium, Mandarin, Bergamot, Pink Pepper เห็นโน๊ตแล้วก็พอจะเดาทางกลิ่นได้ว่ากลิ่นจะเป็นแบบไหน ที่คิดไว้ว่าคงเป็นกลิ่นแนวซีตรัสคมๆ ใสๆ แห้งๆ สไตล์น้ำหอมราคาถูกแน่นอน แต่ก็มาดู Marketing ของน้ำหอมขวดนี้แล้วก็ไม่ธรรมดาเลย ไม่น่าจะเป็นกลิ่นซีตรัสธรรมดาแล้วละ ยิ่งทำให้อยากลองกลิ่นเข้าไปอีก

โดย KFC Eau D’Uardo นี้เป็นสินค้า Limited ผลิตมาจำนวน 25,000 ขวด สามารถซื้อได้ในร้าน KFC และ KFC App ประเทศสเปน ในราคา €3.99 เท่านั้นเ (แต่เมื่อหิ้วเดินทางมาถึงไทยราคาก็สูงขึ้นอย่างมากตามความต้องการ)

วันนี้น้ำหอมก็เดินทางถึงก่อนปีใหม่พอดี แกะดูขวดรูปน่องไก่ดูหน้าตาตลกดีพิกล แต่ก็ชอบมากด้วยเพราะความแปลกของขวดนี่ละ สัมผัสแรกรู้สึกว่าขวดมัน “เบา” แปลกๆ เพราะด้วยวัสดุที่ทำขวดเป็นพลาสติกทำสีเคลือบเงาธรรมดา ไม่ใช่วัสดุแบบ “แก้ว” เหมือนขวดน้ำหอมทั่วไป แต่ด็เข้าใจด้วยด้วยการทำตลาดราคาที่ไม่แพง ส่องดูน้ำหอมมีประมาณครึ่งน่องไก่ ดูน้อย แต่ก็น่าจะปริมาณ 50ml ตามที่ระบุ ด้วยความหนาของขวดไม่หนาเหมือนพวกวัสดุแก้วทำให้จุได้ปริมาณเยอะกว่า ฝาขวดเป็นพลาสติกเหมือนตัวขวด หัวสเปรย์โลหะธรรมดา นอกนั้นก็ปกติสไตล์น้ำหอมราคาประหยัด

กลิ่นเปิดมาด้วยกลิ่นซีตรัสหวานใส หอมเย็น โดยทีกลิ่นหวานค่อยๆ เพิ่มขึ้นแบบน้ำหอมกลิ่นแนว Sport ที่คุ้นเคย ความหวานที่แทรกขึ้นมามันให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นผลไม้พวกซีตรัส พวกส้ม ผสมกับกลิ่นดอกไม้หอมเย็น ช่วงท้ายให้กลิ่นหวานเนียนตลอดช่วงอายุกลิ่น เป็นกลิ่นแค่นี้เท่าที่รู้สึกได้ เป็นโทนกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากอย่างบอกไม่ถูก

อย่างที่บอกมันเป็นโทนกลิ่นที่คุ้นเคยในพวกกลิ่นน้ำหอมผู้ชายจาก Dior และ Chanel เลย โทนกลิ่นซีตรัส Bergamot และไม้หอมติดอุ่่น-เย็น แบบนี้ เพียงแต่น่องไก่กลิ่นนี้มันให้กลิ่นหวานคลอมาในช่วงกลางของกลิ่นด้วย กลิ่นหวานที่นึกถึง Versace Eros, Chanel Allure Homme Sport, Dior Sauvage EDP, JPG Le Male Aviator ผสมปนกันไปหมดอย่างนั้นเลย มันหอมทันสมัยจนน่าประหลาดใจ

สรุปแล้วมันเป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Sport หรือกลิ่นน้ำหอม ผู้ชาย ที่เราคุ้นเคยกันนี่เอง ให้กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ปนกลิ่นหวานนุ่มแบบสดชื่นแบบไม่เชย ไม่เล่นๆ เลย ให้กลิ่นหอมแบบสู้กับกลิ่นแบรนด์ใหญ่ได้สบาย หายสงสัยแล้วว่า KFC Spain ทำน้ำหอมออกมาขายจะเป็นกลิ่นแบบไหน แต่ก็ผิดหวังที่ไม่ใช่กลิ่นไก่ทอด หรือกลิ่นแปลกๆ อย่างรูปร่างขวด มันน่าเสียดายที่กลิ่นมันหอมทันสมัยไปหน่อย

KFC Eau D’Uardo EDT 50ml [2023]

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday