Travel Blog: ทริปเกาะช้าง จังหวัดตราด ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

สวัสดีบล็อก! ไม่ได้มาอัพเดทบล็อกนานมาก มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ ช่วงที่ผ่านมา หลายๆ คนอาจจะเห็นใน IG แล้วว่า ปลายเดือนมีนาคม ได้ไปเที่ยวเกาะช้างมา ใช่แล้วนั่นแหละช่วงเวลาพักผ่อนที่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดประจำปีช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี ปีนี้ได้ไปเที่ยวชมที่เกาะช้าง เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเลยนะ

รูปภาพบรรยากาศวิวบนเกาะช้างที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมสามารถแวะเช้าไปชมได้ที่ IG ลงภาพไว้ในอัลบั้มไว้หลายโพสเลย ฝากเข้าไปกด Like แวะเข้าไปชมภาพบรรยากาศได้ที่ IG ด้านล่างได้เลยนะ

ทริปเกาะช้างครั้งนี้ไปกับที่ออฟฟิต ก็จะได้ภาพวิวมาเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่เอาภาพถ่ายคนอื่นมาลงร่วมด้วยเพื่อความเป็นสวนตัว เริ่มต้นออกเดินทางจากโคราชตอนตี 3 ไปถึงท่าเรือเฟอร์รี่ตอนช่วง 10-11.00 น. ก็ถือว่าโอเค ตอนขึ้นเรือเฟอร์รี่นั้นสนุกมาก เพราะเป็นการขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเป็นครั้งแรก เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหมไม่เคยเจอ พอเรือเทียบท่าเกาะช้างแล้วเดินทางต่อด้วยรถตู้ของรีสอร์ทที่พัก มาจอดรอรับที่ท่าเรืออยู่แล้ว

เดินทางผ่านตัวเมืองของเกาะช้าง ผ่านโรงแรม รีสอร์ท ร้านค้ามากมาย เส้นทางคดเคี้ยวอยูในรถตู้ก็เหวี่ยงดี ให้อารมณ์เหมือนไปเที่ยวเกาะเสม็ด แต่รีสอร์ที่พักที่จองไว้จะอยู่ไกลออกไปจากจุดท่องเที่ยงหลักหน่อย ที่พักในครั้งนี้คือ ไชยเชษฐ์รีสอร์ท อย่ในส่วนแหลมไชยเชษ์จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน โชนรีสอร์ดนั้นดีมาก เงียบสงบ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อหน้าทางเช้าครบครัน เสียอย่างเดียวคือชายหาด ชายหาดที่นี่เป็นโขดหิน ทำให้ไม่น่าลงน้ำเล่นสักเท่าไหร่

ช่วงบ่ายในวันแรกที่ไปถึงรีสอร์ทนั้นก็พักผ่อน กับตอนเย็นไปดูวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แหลม ไชยเชษฐ์ เป็นจุดชมวิวที่ต้องปีนโขดหินขึ้นไปสูงมากเพื่อวิวสวยๆ จากภาพใน IG นั่นละ แต่ก็คุ้มเสี่ยงนะ วิว 360 องศา มันสวยจริงๆ

ทริปนี้ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน วันแรกไปถึงก็พักผ่อน วันที่ 2 มีทริปดำน้ำชมเกาะ 3 เกาะ สนุกดีใช้ได้ ดูรูปประกอบจาก IG ด้านบนได้เลยนะ เกาะส่วนใหญ่ไม่มีหาดทรายละเอียด เป็นหาดทราบหินสั้นๆ ที่สามารถดำน้ำตื้นดูปลาได้ มีดำน้ำลึกอยู่ระหว่างเกาะที่ไปชม แต่ส่วนตัวไม่ได้ลงไปดำน้ำกับเขา เพราะกลัวลอยน้ำไปไกล จากประสบการณ์ที่เคยไปทริปดำน้ำกระบี่ครั้งก่อน เลยไม่ได้ลงไปดูปลาเหมือนกับคนอื่น แต่แค่ดูวิวจุดต่างๆ ก็คุ้มแล้วละ ทริบดำน้ำใช้เวลาประมาณแค่ครึ่งวัน

123

ช่วงบ่ายมีเวลาได้ไปเดินหาของกิน แวะร้านอาหารท้องถิ่นชิมด้วย และก็ไม่ผิดหวัง อาหารอร่อย ราคาถูกคุ้มสุดๆ

ตอนช่วงเย็นก็ได้เดินชมอาทิตย์ตกก่อนทานอาหารค่ำอีกครั้ง เพิ่งเคยเห็นว่าอาทิตย์ดวงสีแดงเลื่อนลงสุดขอบฟ้าแบบรวดเร็วมากจนน่าตกใจ เป็นอาทิตย์ตกที่น่าทึ่งมากๆ ไม่คิดว่าจะพระอาทิตย์จะเลื่อนลงตกขอบฟ้าไปเร็วขนาดนี้ แต่ก็ได้ภาพวิวในรีสอร์ทดมาเก็บไว้ดูทีหลังได้อยู่

เช้าวันสุดท้ายบนเกาะช้าง ตื่นมาสายกว่าทุกวันหน่อย แต่ก็มีเวลามากพอที่จะไปทานอาหารเช้ากับเดินเก็บแปลือกหอยตามชายหาดยามเช้า วิวยังคงสวยเหมือนเดิม แตกต่างตรงที่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นแล้วนี่สิ พยายามเใช้เวลาให้คุ้ม ซึมซับบรรยากาศที่หาได้ยากแบบนี้ให้มากที่สุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพวิวนั้นกลับมาด้วย

พอถึงเวลากลับรถตู้ก็มารอที่หน้ารีสอร์ท พาเดินทางผ่านเกาะช้างไปที่ท่าเรือเฟอร์รี่กลับแผ่นดินใหญ่ ขากลับนี้รู้สึกเศร้าหน่อยๆ เพราะยังอยากอยู่บนเกาะต่อ อยากไปที่เที่ยวอื่นๆ อีก แต่ถึงเวลาก็ต้องกลับนั่นละ ทำใจ

ทั้งภาพ ทั้งคลิปขากลับที่ถ่ายมานั้นมันให้อารมณ์เศร้า ปนเหงาหน่อยๆ ทุกภาพเลย คงเป็นเพราะคนถ่ายมันรู้สึกแบบนั้นนั่นละ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ไปเกาะช้างครั้งแรก ขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากครั้งแรก ใช้เวลาบนเกาะถึง 3 วัน นานสุดครั้งแรก ชอบมากประทับใจ แอบคิดว่าถ้ามีโอกาส มีเงินก็จะหาเวลาไปเที่ยวเองคนเดียวเงียบๆ นานๆ บนเกาะก็คงจะมีความสุขดีไม่น้อย

จบแล้วกับทริปเที่ยวพักผ่อนต้นปีของปี 2566 นี้ ปลายปีไม่รู้จะได้มีโอกาสไปเที่ยวอีกไหม ไว้จะเอามาเล่า กับเอารูปมาฝากให้ชมและอ่านกันนะครับ

Travel Blog: เล่าเรื่องเที่ยวป่าเขา ม่อนเคียงดาว จ.น่าน เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ทริปเที่ยวน่านครั้งนี้เป็นทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืนที่คิดกันมาไม่นาน วางแผนบ้างนิดหน่อย โดยจะเดินทางตรงไปที่พักเลย คือ “ม่อนเคียงดาว” ที่อยู่ในอุทธยานศรีน่าน เป็นรีสอร์ท ประมาณว่ากางเต็นท์ นอนกระโจม แล้วตื่นมาดูหมอกในหุบเขา ประมาณนั้นเลย ส่วนที่เที่ยวระหว่างทางก็ไม่ได้เตรียมกันไว้เจออะไรค่อยแวะไปเรื่อย

การเดินทางเริ่มต้นคืออกจากโคราชประมาณ เที่ยงคืน แล้วก็ค่อยๆ เดินทางไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะพักรายทางไป ซึ่งก็หลับไปตลอดทาง เพราะตอนกลางวันก็ทำงานปกติมาเลยหนื่อยหน่อย ตื่นมาอีกทีก็ ตีห้าตรง แวะเข้าห้องน้ำกัน เปิดแผนที่ดูก็อยู่ที่ อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร แล้ว พอเริ่มเช้าการเดินทางก็ไปเรื่อย แวะปั้ม แวะเซเว่นไปตลอดทาง

มาถึงอาหารเช้าต่างที่มื้อแรก ได้เวะปั้ม ปตท. ที่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ เจอร้านข้าวเล็กๆ ข้างปั้มที่เราต้องพากันเดินกันไปกิน เป็นร้านข้าวแกงที่มีก๋วยเตี๋ยว และก๋วpจั๋บ ขายด้วย ซึ่งก็แน่อนตอนนั้นเคี้ยวอะไรมากไม่ได้ก็เลยสั่งก๋วยจั๊บไป หน้าตาน่ากินมาก ได้เยอะด้วย ซึ่งรสชาติก็อร่อยมากเพราะด้วยความหิว และต่างสถานที่ โดยจุดนี้เป็นจุดแรกที่เราได้เจอวิวภูเขาที่มีหมอกหนาสวยงามด้วย กินเสร็จก็เดินทางกันต่อ ตอนนี้วิวข้างทางก็เป็นภูเขา ไร่นา และป่า เกือบทั้งหมดตลอดทางแล้ววิวดีเลยทีเดียว

นั่งรถกันมาเรื่อยๆ เริ่มเข้าป่า ขึ้นภูเขามากขึ้นจนเวลาเกือบ เที่ยง ก็มาหยุดที่จุดตรวจระหว่างทาง ที่ ภูแลลาว อ.บ้านโค้ก จ. อุตรดิตถ์ เป็นจุดตรวจที่ล้อมรอยด้วยป่า ทางลาดขึ้นเขา อากาศดีสดชื่น เพราะเริ่มสับสนกับเส้นทาง และ GPS ก็เริ่มใช้งานไม่ได้เพราะสัญญาณมือถือค่อนข้างอ่อน และไม่มีสัญญาณมือถือกันแล้ว แวะจุดตรวจถามทางเจ้าหน้าที่ และก็เข้าห้องน้ำกันอีกครั้งก่อนที่ต้องนั่งรถเข้าไปในภูเขาแบบจริงจัง

เดินทางขึ้นภูเขากันต่อ เป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ทางค่อนข้างคดเคี้ยว รอบข้างเป็นป่าทึบ ที่ดูชื้นๆ ตลอดทาง เป็นการเดินทางที่มีรถเราขับขึ้นไปกันคนเดียว นานๆ ทีถึงจะมีรถสวนกลับมาบ้าง เหมือนในหนังสยองขวัญเลย

นั่งรถขึ้นเขาตามทางคดเคี้ยว มีขับเลยทางเลี้ยว ทางเข้าอะไรกันไปบ้าง ตอน บ่ายโมง ก็มาถึงจุดชุมวิวของ อุทยานศรีน่านแล้ว เรียกว่าขับต่อกันมาอีกชั่วโมงนึงเลย โดยคนของรีสอร์ทแจ้งว่าให้แวะจอดรถไว้ที่จุดจอดตรงนี้ เดี๋ยวทางรีสอร์ทจะนำรถมารับเราขึ้นไปที่รีสอร์ท ตอนแรกก็งงนิดๆ ว่าทำไมถึงต้องให้รอ แล้วนั่งรถต่อขึ้นไป เหมือนในหนังอีกแล้ว แต่ก็ไม่คิดมากวิ่งไปชมวิว ถ่ายรูปภูเขาสวยๆ ก่อน อากาศก็โอเค เมฆมาก แดดไม่ร้อน แต่มีฝนตกปรอยๆ สลับกับตกแรงตลอดเวลา

สักพักก็มีรถ CRV ขับมารับพวกเราไปที่รีสอร์ท ซึ่งต้องแบ่งเป็นรอบกันขึ้นเพราะเพราะรถนั่งได้ไม่หมด ที่ต้องมีรถมารับอีกต่อนึงก็เพราะทางเข้ารีสอร์ทจะเป็นทางที่ต้องเข้าไปในภูเขานั่นเอง โดยมันเป็นทางลาดชันมาก ทางลำบางเลยละ ระหว่างทางก็จะผ่านรีสอร์ทต่างๆ ขึ้นไป ซึ่งรีสอร์ทเราอยู่สูงมาก เรียกว่าอยู่บนยอดเขา หรือสันเขาเลย รถมาส่งเราตรงกระโจมที่พัก ริมเชิงเขา

โดยถึงรีสอร์ทตอน 13:45 น. พอได้เห็นวิวบนรีสอร์ทก็เรียกว่าหายเหนื่อยจริงๆ เดินทางมากว่า 12 ชั่วโมง เจอวิวแบบนี้มันดีมากๆ รีสอร์ท ม่อนเคียงดาว เป็นรีสอร์ทบนภูเขาที่มีที่พักหลายแบบโดยทั้งหมดจะเป็นที่พักยกพื้นสูงด้วยไม้ไผ่ จะต่างจรงที่ส่วนของที่พักที่บางส่วนจะเป็นกระโจมใหญ่ กระโจมเล็ก และเต็นท์ เรียงรายขึ้นไปบนยอดเขา ในทริปนี้ได้เป็นกระโจมใหญ่ 2 หลัง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งสามารถตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ ภายในกระโจมก็โอเค มีที่นอนเรียงกันตรงกลาง ด้านหน้าสามารถนั่งเล่น ทานอาหารกันได้

โดยที่รีสอร์ทจะมีไฟฟ้า และแสงสว่าง ถึงเวลา 21:30 น. เท่านั้น ใช้ห้องน้ำรวมกัน มีประมาณ 2 รึ 3 จุด มีร้านอาหารให้สั่งอาหาร พวกราดข้าว อาหารมีหลายชนิด และมีหมูกระทะ ให้สั่งด้วย ราคาก็พอมีเหตุผลสำหรับสถานที่แบบนี้อยู่

ภายในรีสอร์ทจะมีการจัดจุดให้ถ่ายภาพ จัดสถานที่สวยงาม แปลงดอกไม้ แปลงผัก เอาไว้ให้นักท่องเที่ยงถ่ายภาพกันหลายจุด เราสามารถเดินไปได้รอบๆ ภูเขาถ้าเราเดินไหวนะ โดยที่จะสามารถเดินไปดูรีสอร์ทข้างๆ ที่มีร้านกาแฟได้ด้วย

หลังจากเอาสัมภาระเก็บและก็เดินเล่น ถ่ายรูปรอบๆ รีสอร์ทแล้วประมาณ 15:30 ก็มารวมกันที่ร้านอาหาร กะว่าจะกินข้าวเย็นกันเลยเพราะตอนดึกๆ ไม่มีไฟฟ้า กลุ่มเราลงไปที่ร้านอาหารเรียกว่าเต็มร้าน สั่งอาหารมาเต็มที่ และที่สำคัญหมูกะทะต้องสั่งมาแน่นอน รู้สึกว่าจะมีแค่กลุ่มเราที่อยู่ตอนนี้นะ เพราะไม่มีคนกลุ่มอื่นออกมาเดินกันเลย

กินอาหารกันไปเรื่อยๆ เริ่มมืดลงก็เริ่มเห็นมีรถของรีสอร์ทพานักท่องเทียงกลุ่มต่างๆ ขึ้นมายังที่พักกันจนช่วงค่ำๆ รีสอร์ทก็มีคนคึกคักกันเลยทีเดียว เรียกว่ากลุ่มเราเป็นกลุ่มที่มาถึงก่อนก็ว่าได้ คืนนี้ก็กินกันจนไฟดับคาร้านอาหารของรีสอร์ท คงเพราะเครื่องดื่มที่พากันขนขึ้นไปก็เลยนั่งยาวกันไปหน่อย ไฟดับแล้วก็พากันไปนั่งคุยกันต่อที่ระเบียงหน้ากระโจมกันสักพัก เรามีไฟฉายอันเล็กพกไปด้วยก็เลยพอมีแสงสว่างบ้าง คืนนี้ไม่ได้อาบน้ำเพราะว่าทางไปห้องน้ำไปลำบาก น้ำก็ดำปี๋เลย และก็เดินไม่ไหวด้วยแหละจัดไปหลายกระป๋องมาก

ตั้งนาฬิกาปลูกไว้ตอนเช้าก็ตื่นมาเตรียมรอดูหมอก รอแสงแดด จนประมาณ 6 โมงเช้า ก็เริ่มสว่างเริ่มเห็นพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มีแสงสว่างกว่านี้แล้ว เพราะวันนี้เมฆเยอะ ลมแรง ทำให้หมอกไม่มีให้ดู เห็นหมอกแค่ในรูปนั่นแหละ ดูวิวสักพักก็เดินไปที่ร้านอาหาร ไปทานข้าวต้มที่ทางรีสอร์ทมีไว้บริการ จากนั้นก็พากันเดินถ่ายรูปอีกรอบ แล้วประมาณ 9:00 น. รถของรีสอร์ทก็มารับกลับลงภูเขาไป

พอลงเอาสัมภาระไปเก็บที่รถก็คุยว่าจะเดินขึ้นมาที่จุดกางเต้นท์ที่ทางอุทธยานมีไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกจุด คือ ดอยเสมอดาว เป็นจุดกางเต้นท์ที่สามารถเดินย้อนถนนจากจุดจอดรถขึ้นไปได้ บนนั้นจะมีลานกางเต้นท์สำเร็จรูป มีห้องน้ำอย่างดี มีจุดชมวิวสวยงาม จุดชมวิวสำคัญของที่นี่คือ ผาหัวสิงห์ เป็นภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนหัวสิงโตหันข้าง

หลังจากชมวิวที่จุดกางเต็นท์ก็พากันเดินทางกลับคราวนี้ลงจากเขามาอีกทางนึง จำไม่ได้ว่าเขาเรียกว่าอะไร เป็นทางที่ค่อนข้างเจริญ และมีร้านค้า บ้านเรือนเต็ม 2 ข้างทาง ไม่น่ากลัวเหมือนขามา คุยกันไว้ว่าระหว่างทางถ้าเจอร้านของฝากอะไรก็จะแวะซื้อกลับโคราชกัน สักพักก็เจอร้านไส้อั่วโบราณข้างทาง เป็นร้านเล็กๆ มีไส้อั่ว น้ำพริก กับเครื่องเคียงนิดหน่อย ก็พากันซื้อร้านนี้แหละจะได้ไม่ต้องไปหาร้านของฝากอีกให้วุ่นวาย

แวะกินข้าวเที่ยงตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นยาจีน เป็นก๋วยเตี๋ยวที่มีเครื่องเยอะมากรสเหมือนก๋วยจั๋บ อร่อยดี กินเสร็จก็เดินทางกลับ แล้วก็แวะปั้มรายทางกันอย่างสนุกสนาน โดยระหว่างทางก็เข้าออกป่าเรื่อยๆ สัญญาณมือถือแถวๆ นี้ไม่ได้ดีเท่าไหร่รู้ตัวอีกทีแบตก็จะหมดแล้ว แบตสำรองที่เอามาอีกตัวดันเป็นหัวแบบ USB ธรรมดา แล้วเรามีสาย USB-C 2 หัว เลยใช้ไม่ได้ลุ้นว่าแบตจะหมดไหม จนช่วง 5 โมงเย็น แวะปั้มที่ พิจิตร อีกรอบรีบลงไปซื้อสายชาร์จที่เซเว่นก็ช่วยให้รอดไปได้

แวะกินข้าวเย็นอีกครั้งตอน 20:30 น. ที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ที่ร้านข้าวต้ม โก๊ะโภชนา เป็นร้านข้าวต้มที่คนเยอะ คึกคัก กับข้าวที่สั่งมาก็อร่อยมากด้วย ถึงปริมาณจะดูน้อยแต่รสชาติดีใช้ได้เลย กินเสร็จก็เดินทางต่อ และก็ยังคงแวะรายทางไปเรื่อยๆ ต่อไปจนถึงโคราชเกือบๆ เที่ยงคืน

พูดถึงรีสอร์ทบ้าง ที่พักดี ดูสวย แต่ค่อนข้างเก่า ตัวเต้นขึ้นราหมดแล้วน่าจะเป็นเพราะอากาศชื้นตลอดวันและทุกวัน ทางรีสอร์ทก็กำลังทยอยเปลี่ยนเต็นท์กันอยู่ ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมที่สภาพการใช้งานค่อนข้างลำบาก ไม่สะอาด ไม่มีไฟในห้องน้ำ น้ำที่ปั้มขึ้นมาเข้าใจว่าเป็นน้ำธรรมชาติ เลยขุ่นไปบ้าง แต่ถ้าปรับห้องน้ำให้เหมาะกับคนหลายๆ คนได้จะดีมากมันไม่พอกันใช้ อาหารนั้นโอเค อร่อย ราคาโอเค การเดินทางขึ้นลำบากติดต่อยากเพราะสัญญาณมือถืออ่อน โทรติดบ้าง ไม่ติดบ้าง สรุปแล้วไปพักเอาบรรยากาศ สนุกๆ 1 คืน ก็โอเคอยู่

จบแล้วทริปไปเที่ยวน่านครั้งนี้ ทริปสั้นๆ และการเดินทางที่ไม่สั้นเหมือนตอนเที่ยวเลย อาศัยว่าเที่ยวตามปั้มระหว่างทางแทน ทริปนี้ถือว่าสะดวกตรงการเดินทางที่เราเหมาะรถตู้กันไปเอง แบบไม่เป็นทางการ ขับไปเรื่อยๆ ไม่รีบเลยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าเดินทางด้วยรถโดยสารคงจะลำบาก และอึดอัดไม่น้อยเลย

Travel Blog: ทริปสั้นๆ เที่ยวกาญจนบุรีแบบรวดเร็ว

วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่ไปเที่ยวกาญจนบุรีเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นทริปสั้นๆ ที่ไปกับที่ทำงานไม่คิดว่าจะไป-กลับได้เร็วขนาดนี้ และเป็นประสบการณ์ที่น่าจำ สนุกและน่าเบื่อปนๆ กันไป

เริ่มการเดินทางตอนเที่ยงคืนไปถึงกาญจนบุรีตอนเช้าก็ตรงไปที่น้ำตกเอราวัณเลย แวะทานข้าวเช้ากันที่ตลาดหน้าทางเข้าอุทยานเอราวัณ ตลาดช่วงเช้าไม่มีคนเลยมีแต่กลุ่มเราเท่านั้น แต่ละร้านก็พากันเรียกลูกค้าเข้าร้านน่าอึดอัดแต่ก็โอเคหิวๆ มีคนเรียกกินข้าวเข้าร้านอาหารตามสั่งร้านนึงที่มีรูปอาหารเต็มหน้าร้าน มาถึงกาญจนบุรีคิดว่าจะสั่งเมนูไหนละแม่ครัวก็แนะนำเมนูเยอะแยะมากมาย แต่เราก็สั่ง ข้าวกระเพราะหมูกรอบ เมนูนี้แหละจะสั่งทุกที่ที่มีโอกาสได้สั่ง จะได้รู้ว่าแต่ละจังหวัดเขาทำกระเพราหมูกรอบรสชาติแบบไหนกันบ้าง แปลกใจมากที่ร้านนี้ทำมาอร่อยมากครบรส หวานเค็มเผ็ด หมูก็กรอบกำลังดี ปริมาณเหมือนจะน้อย ราคา 50 บาท ก็โอเคหน่ะสถานที่ท่องเที่ยว

ทานข้าวกันเสร็จก็หาห้องน้ำห้องน้ำที่นี่มีวิวด้านหลังเป็นภูเขาสวยเลยอยากอยู่นานๆ แต่คนเข้าห้องน้ำเยอะไปดีกว่า นั่งรถต่ออีกนิดไปที่อุทยานเสียค่าเข้ารู้สึกว่าคนละ 10 บาทมั้ง ก็เดินเข้ากันเลย ทางขึ้นไปดูน้ำตกชั้นแรกนั้นมีบริการรถกล็อฟเล็กๆ ขึ้นไปครั้งละ 10 บาท หรือจะเลือกเดินขึ้นก็ได้ เลยเลือกวิธีเดินขึ้นไปทางขึ้นก็สะดวกทางขึ้นเทปูนเดินง่าย แต่ความง่ายก็จะหยุดอยู่เท่านี้ หลังจากนั้นก็จะเริ่มเดินขึ้นเขากันแล้ว

น้ำตกชั้นต่างๆ ในช่วงนี้จะห้ามลงเล่นน้ำทั้งหมด โดยมีเชือก/เทปสีเหลือง กันไว้ทำให้ดูแปลกตาไปบ้างแต่ก็ยังชมน้ำตกได้อยู่ ตั้งใจไว้ว่าจะขึ้นให้ถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ให้ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมงกว่าที่มีให้นี่แหละ อย่างที่บอกเดินขึ้นน้ำตกชั้นที่ 2 ที่ 3 ทางเดินเริ่มขึ้นเขา เดินบนหิน เดินบนบันไดไม้บ้างแล้วแต่ช่วง บางชั้นก็ปิดทำทางเดิน ก็ดูได้แค่ไกลๆ ส่วนใหญ่จะเข้าชมได้หมดแต่ต้องเดินอ้อมเข้าไปไกลบ้าง แต่ในที่สุดก็ขึ้นไปถึงน้ำตกชั้นที่ 7 ได้สำเร็จ โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ชั้น 7 น้ำตกไม่ค่อยสวยเท่าชั้นล่างๆ เพราะตกไหลเอื่อยๆ จากที่สูงเท่านั้น ข่วงนี้ชั้นบนๆ มีการก่อสร้างทางเดิน-บันไดใหม่กันอยู่เพื่อความสะดวกในการเดินขึั้น นับถือคนก่อสร้างจริงๆ นั่งตอกไม้ไผ่กันแค่ 4 คน มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์ขนไม้ ขนของขึ้นมาด้วยเก่งมากๆ แต่ยังคงเห็นบันไดไม้เก่าและได้ใช้ขึ้นกันอยู่ที่เก้าขึ้นแต่ละขั้นโยกบ้าง ขยับบ้าง ตื่นเต้นดี

เช้าวันต่อมาไปดู “ต้นจามจุรียักษ์” ที่มีคนเยอะมากๆ ที่มาดูต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ มีลงทะเบียน “ไทยชนะ” ก่อนเข้าชมด้วย เข้าไปแล้วก็เจอต้นจามจุรียักษ์ที่ก็ต้นใหญ่สมกับชื่อนั่นแหละ คนใต้ต้นไม้เยอะมากเลยแค่ถ่ายรูปนิดหน่อยก็ออกมาเดินดูร้านขายของด้านนอก ที่มีร้านขายของหลากลายเยอะจริง

จุดต่อไปไปไหว้พระชมวัดที่ “วัดถ้ำเสือ” มาถึงหน้าวัดก็เห็นคนล้นวัดกันออกมาแล้วเป็นวัดที่คึกคักจริงๆ มีสถาปัตยกรรมหลากหลายตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้นบนสุด การขึ้นไปชั้นบนก็ต้องซื้อตัวนั่งรถรางเล็กๆ ขึ้นไปเหมือนขึ้นหอวัง ต่อแถวขึ้นไปก็ใช้เวลานิดนึงแต่สนุกดีตั๋วซื้อครั้งนึงสามารถขึ้นและลงได้ หรือจะเลือกเดินลงก็ได้ ด้านบนจะมีพระองค์ใหญ่ให้ไหว้สักการะ เดินชมวิวด้านบนได้เห็นวิวทุ่งนา ภูเขา สบายตาดีมากแต่ต้องเอาแว่นกันแดดไปด้วยนะเพราะแสงจ้างสว่างมาก และอากาศก็ร้อนมากเช่นกัน ลืมเรื่องลมพัดเย็นสบายไปได้เลย ขาลงแวะเข้าไปถ้าเสือไปไหว้พระ และชมถ้ำด้านล่าง เสร็จแล้วก็ออกมาขึ้นรถ ระหว่างทางมีร้านขายของตามทางอีกตามเคย ไปสะดุดตรงร้านขายต้นไม้ ต้นว่านงวงช้าง ซื้อกลับมาฝากที่บ้านด้วยราคาไม่แพง

แวะทานข้าวเที่ยงที่ “ร้านแก้วของฝาก กาญจนบุรี” เป็นศูนย์รวมร้านอาหาร จุดแวะพัก จุดซื้อของฝาก ที่ใหญ่มาก มีร้านกาแฟอเมซอนด้วย ข้าวเที่ยงที่สั่งเป็นร้านสุดทางเดินที่คิวว่าง สั่งข้าวไข่เจียวกับแกงส้ม ที่ไข่เจียวใส่เครื่องเยอะมากรสอร่อย พร้อมแกงส้มดอกสลิดที่รสเปรี้ยวสดชื่น อร่อยสุดๆ ราคา 50 บาท ทานเสร็จก็เข้าร้านของฝากที่มีของกินเยอะหลากหลายจริง ได้เค้กมะพร้าว วุ้นมะพร้าว ขนมเปี๊ยมาฝากคนที่บ้าน จบด้วยแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อกาแฟที่ร้านอเมซอน และชมวิวทางรถไฟ้ด้านหลังด้วย

ต่อไปเป็นจุดสุดท้ายของทริปก็คือ “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” เป็นสถานที่ที่ใครไปจังหวัดกาญจนบุรีแล้วต้องไปให้ได้ รถจอดที่ลานจอดรถไกลพอสมควรต้องเดินไปที่สะพานโดยระหว่างทางก็ผ่านตลาดหลายเครื่องประดับ อัญมณีตลอดทาง เดินไปจนสุดเลี้ยวขวา ข้ามถนน เดินอีกนิดก็จะเจอสะพานข้ามแม่น้ำแควตั้งอยู่ข้างหน้าเรา สะพานจริงๆ แล้วดูเล็กกว่าที่เห็นในทีวีมาก ขนาดเล็กกระทัดรัดและด้วยรูปร่าง และสถาปัตยกรรมที่ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ก็คือว่ามันสวยนั่นแหละ ได้ถ่ายรูปมุมกว้างของสะพานและเดินขึ้นสะพานไปนิดนึงแต่ก็ต้องถอยกลับ เพราะด้วยจำนวนคนที่เยอะมากชุนลมุนสุดๆ และด้วยฝนกำลังจะตกก็เลยต้องรีบเดินกลับรถอย่างน่าเสียดาย

สุดท้ายแล้วก็เดินทางกลับโคราชต่อ ระหว่างทางมีแวะปั้มนัำมันชื่อแปลกๆ ที่มีร้านอาหารเล็กๆ หลายร้านอยู่ให้ทานข้าวเย็นกัน ตอนนั้นนึกไม่อยากินอะไรวุ่นวายเลยเลือกซื้อลูกชิ้นปิ้งที่ทอดมาก่อนแล้วกินแทน ลูกชิ้นไม้ละ 10 บาททุกไม้แต่ไม้ใหญ่มากทุกไม้อิ่มเลย แวะทานข้าวเย็นเสร็จก็เดินทางยาวกลับถึงโคราชประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ

เรียกว่าเป็นทริปสั้นๆ กระชับ รวดเร็วในการชมสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีอาจจะไปไม่ครบแต่ก็ได้ไปจุดใหญ่หลายที่เลย ประทับใจน้ำตกเอราวัณที่สามารถขึ้นไปถึงชั้น 7 ได้ และสะพานข้ามแม่น้ำแควที่ได้ไปเห็นของจริงเป็นครั้งแรก และเสียดายที่ใช้เวลาที่นี่น้อยไปไว้จะหาโอกาสแวะไปเที่ยวใหม่อีกครั้ง

เป็นอย่างไรบ้างอ่านแล้วงงกันไหม เบื่อกันไหม ไม่อยากอ่านก็ดูรูปตามก็ได้ดูเพลินๆ เหมือนไปเที่ยวไปด้วยกัน จบแล้วทริปนี้คราวหน้าไปเที่ยวอีกจะเอามาล่าลงให้อ่านกันต่อ

Blog: เยี่ยมชม อุทยานไม้ดอกเพลาเพลิน จังหวัดบุรีรัมย์

อาทิตย์ก่อนมีโอกาสไปเยียมชมอุทยานไม้ดอกเพลาเพลิน จังหวัดบุรีรัมย์ เคยได้ยินในข่าวเวลามีงานแสดงไม้ดอกเมืองหนาวในไทยบ่อยๆ ได้มาดูของจริงก็คราวนี้ เดินทางไม่ไกลจากโคราชเท่าไหร่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางถึงแล้ว แปลกใจนิดหน่อยกับทางเข้าอุทยาน มันเป็นถนนคล้ายซอยเล็กๆ มีทางข้ามแม่น้ำด้วย ทางเข้ามันเล็กมากจนไม่คิดว่าข้างในเป็นสถานที่ท่องเที่ยวถ้าไม่มีป้ายติดไว้

พอเข้าไปในพื้นที่แล้วก็ซื้อตั๋ว ต่อแถวเข้าไปในอุทยาน ก่อนเข้าไปข้างในก็จะเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกของทางอุทยาน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อผ้ามัดย้อม ผ้าทอมือ และของเล็กๆ กระจุกระจิก ด้านในจะเป็นพื้นที่บริเวณกว้างมาก มีอาคารสีขาวใสๆ เหมือนเรือนกระจกหลังคาทรงสูงแบบไทย อยู่ประมาณ 3-4 หลัง ภายในอุทยานจะมีเจ้าหน้าที่คอยนำไปดูในแต่ละอาคาร ในแต่ละจุด และอธิบายรายละเอียดของแต่ละสถานที่ให้ฟัง

อาคารแรกที่่เข้าไปเป็นหอประชุมสำหรับจัดงานเลี้ยง ภายในตกแต่งด้วยดอกไม้ปลอมสีขาวสวยงาม เดินต่อไปยังอาคารหลังแรกเป็นการจัดแสดงพันธ์ไม้เมืองหนาว มีดอกลิลลี่สีขาวบานเต็มพื้นที่จัดแสดง พร้อมทั้งบ่อน้ำ และน้ำตกเล็กๆ

เมื่อเดินสุดทางของอาคารจะมีทางเชื่อมเพื่อให้เดินทางต่อไปยังอาคารถัดไปได้ อาคารถัดมาจะเป็นอาคารจัดแสดงต้นไม้เหมือนในป่าที่มีตัวไดโนเสาร์จัดแสดงอยู่ด้วย แต่ละอาคารจะมีการรูปแบบการจัดแสดงแตกต่างกันไป โดยการไปเยี่ยมชมครั้งนี้ไปเป็นแบบหมู่คณะตอนเที่ยงทางอุทยานเลยได้ให้เข้าไปทานอาหารในห้องจัดเลี้ยง ซึ่งก็ถือว่าบริการและอำนวยความสะดวกดีมาก

จริงๆ แล้วภายในอุทยานจะมีกิจกรรมให้ทำอีกหลายอย่างทั้ง เยี่ยมชมฟาร์มแพะ แกะ ให้อาหารสัตว์ ทำผ้ามัดย้อม ทำเทียนหอม มีสระน้ำขนาดใหญ่ รู้สึกว่าจะมีสวนน้ำแบบตื้นๆ ให้บริการช่วงหน้าร้อนด้วย แต่ไม่ได้ไปครบทุกที่ในอุทยานหรอกเพราะวันที่ไปอากาศและแสงแดดร้อนมากๆ เลยได้แวะชมแค่บางจุดเท่านั้น

ทางอุทยานมีจุดขายของที่ระลึกภายในอุทยานอยู่ 1 จุด และบริเวณนอกอุทยานริมถนนใหญ่จะมีอีก 1 จุด เป็นคอฟฟี่ช็อปด้วย จัดสถานที่แบบร้านขายของที่ระลึก น่ารักดี สินค้าส่วนใหญ่ เป็นของที่ระลึกเล็กๆ พวกเทียนหอม ของที่ทำจากไม้ ผ้าแบบต่างๆ โซนคอฟฟี่ช็อปจะมีขายเครื่องดื่มร้อนเย็น ที่เห็นเยอะก็ขายพวกชานี่แหละมีหลายประเภทให้ซื้อกลับไปด้วย สรุปแล้วเป็นสถานที่จัดแสดงดอกไม้และการจัดสวนที่สวย สถานที่ใหญ่โตมีกิจกรรมให้ทำพอสมควรเลย เพียงแต่ของที่ระลึกที่จำหน่ายยังไม่ค่อยเห็นของที่เป็นเอกลักษณ์ของอุทยานเท่าไหร่

Blog: วันที่ 4 มกราคม 2560 สวัสดีปีใหม่, เล่าเรื่องหมู่บ้านช้างศูนย์คชศึกษา

สวัสดีปีใหม่บล็อก ขอสวัสดีปีใหม่ทุกๆ คนที่ได้ผ่านมาอ่านบล็อกนี้ เดือนที่ผ่านไม่มีบล็อกลงให้อ่านเท่าไหร่ เป็นเดือนที่มีงานยุ่งเอาการ มีเรื่องให้คิดทบทวนวนไปวนมา จนไม่ได้ลงเรื่องในบล็อกเลย หวังว่าปีนี้คงจะดีกว่าปีที่ผ่านมานะ… (ᵔᴥᵔ) …

ปลายเดือนก่อนได้มีโอกาสไปจังหวัดสุรินทร์ และได้แวะไปเยี่ยมชม “หมู่บ้านช้างศูนย์คชศึกษา” ตอนแรกก็คิดว่าเป็นหมู่บ้านคนที่เลี้ยงช้างเยอะๆ แต่ไปถึงก็เป็นเหมือนศูนย์เลี้ยงช้างนั่นเอง หลักๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นสถานที่แสดงโชว์ความสามารถของช้างเลี้ยงก็ว่าได้ ภายในแยกเป็นส่วนๆ มีส่วนให้อาหารช้าง ขึ้นนั่งหลังช้างที่เดินวนรอบศูนย์ ส่วนลานแสดงโชว์ ส่วนขายของที่ละลึก และส่วนอาคารแสดงความรู้เกี่ยวกับช้าง เท่าที่ดูก็มีประมาณนี้

ได้ดูโชว์แค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เห็นแค่มีช้างมาเดินวนรอบลานแสดงแล้วก็มาให้ผู้ชมป้อนอาหารที่ต้องซื้อป้อน แล้วก็ช้างวาดรูป แล้วเอารูปที่ช้างวาดมาให้ผู้ชมซื้อ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ดูเพราะไม่ค่อยชอบการที่เอาช้างมาแสดงเพราะส่วนตัวคิดว่ามันเหมือนเป็นการบังคับสัตว์ให้ทำอะไรที่ผิดปกติ ดูแล้วสงสารมากกว่าเลยไม่ได้ดูต่อ ก็เลยออกไปดูส่วนของขายของที่ระลึกที่มีพอสมควร ส่วนใหญ่จะขายเป็นเสื้อผ้า พวกผ้าไทยที่มีลายช้าง กระเป๋าย่าม เครื่องประดับ ส่วนตัวไปได้ผ้าพันคอที่ไม่เกี่ยวอะไรกับบ้านช้างเลยมา 2 ผื่น กระเป๋าย่ามลายช้างใบเล็ก 1 ใบ และก็สร้อยคอรูปช้างสีขาวมา 1 เส้น ราคาของที่ระลึกก็เป็นราคาปกติไม่แพงเท่าไหร่

ก่อนกลับเดินผ่านคนขายล็อตเตอรี่ คิดว่าไหนๆ ก็มาต่างที่แล้วก็ลองเสี่ยงดวงสักหน่อย ปกติไม่ซื้อล็อตเตอรี่อยู่แล้วถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษ ครั้งนี้เลยซื้อมา 2 ใบ เพราะคนขายทำเอาไว้แบบ 2 ใบทั้งหมด ปลายปีที่ผ่านมาก็ตรวจรางวัลแล้วก็ไม่ได้ถูกรางวัลอะไรแต่ก็ได้ลุ้นตื่นเต้นดี

ส่วนหยุดยาวเทศกาลปลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหน พักอยู่บ้านยาวเลย เห็นข่าวการจราจรติดขัดช่วงปีใหม่แล้วก็แอบดีใจที่คิดถูกไม่ไปเที่ยวไหนช่วงนี้ไม่ชอบรถติดเลย