Perfume Blog: Perfumer’s Workshop Samba for Men EDT

Samba for Men ออกมาตั้งแต่ปี 1990 หรือช่วงยุคใหม่ของน้ำหอมในความคิดของบล็อก เป็นช่วงที่น้ำหอมมีการออกกลิ่นที่แตกต่าง แปลก และมีความหลากหลายมากขึ้นจากเดิมที่น้ำหอมต้องมีกลิ่นหอมลึกอบอุ่น กลิ่นรุนแรง มาเป็นน้ำหอมกลิ่นใส สะอาด กลิ่นบางเบา ไปจนถึงหอมแสบจมูกแบบแตกต่างจากคนอื่นได้เลย

กลิ่นสดชื่นแบบซีตรัสคมๆ ให้อารมณ์ของกลิ่นมะกรูด กลิ่นเปลือกส้มขมๆ ใสๆ กลิ่นติดเขียวนิดหน่อยจนออกแนวกลิ่นตะไคร้หอม ให้ความรู้สึกแบบผลิตภัณฑ์บำรุงต่างๆ ของผู้ชาย กลิ่นสดชื่น หอม ใส พอผ่านไปสักพักจะเริ่มมีความหอมครีม ติดหวานนิดๆ พอให้รู้สึกนุ่มนวลคล้ายกลิ่นพวกไม้หอมบางๆ หรืออาจจะเป็นกลิ่นพวกดอกไม้ต่างๆ ถ้าดูตามโน้ตของกลิ่น ซึ่งช่วงกลิ่นกลางไปนี่แหละหอมครีมๆ หวานนิดๆ ผ่อนคลายชิลได้เลยเวลาอากาศร้อนๆ

เป็นกลิ่นที่สดชื่น หอมสบาย ใช้งานง่ายมากๆ เหมาะกับอากาศร้อนที่กำลังเริ่มฤดูร้อนตอนนี้พอดี กลิ่นกระจายตัวช่วงแรกดีใช้ได้ แต่มันเป็นกลิ่นที่ไม่แรง ไม่แน่น ที่จะทำให้มันไม่ค่อยคนในสภาพอากาศร้อนสักเท่าไหร่ แต่มันไม่แพงก็จะฉีดกี่ครั้ง ฉีดตอนไหนก็ไม่เสียดาย

Perfumer’s Workshop Samba for Men EDT 100ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Perfume Blog: Vintage Collection: Christian Dior Forever and Ever, Diorissimo, Remember Me, I love Dior, Dior me Dior me not

ครั้งนี้จะลงเรื่องน้ำหอมเก่าจาก Christian Dior ที่เพิ่งได้ขวดล่าสุด Forever and Ever ขวดรุ่นเก่ามา เลยถือโอกาสเอาขวดรุ่นๆ เดียวกันกลิ่นอื่นๆ ที่ได้มานานแล้วเอามาลงรวมไว้ที่นี่ด้วย

ขวดรุ่นนี้เป็นขวดแก้วที่ออกจำหน่ายประมาณช่วงต้นปี 2000 ที่คิดว่าหลังจากนั้นจะเปลี่ยนขวดสเปรย์เป็นแบบใหม่ที่ดูเพรียวสวยขึ้นและก็เลิกผลิตไปหลายกลิ่น เหลือแค่บางกลิ่นที่ขายดีหรือมีประวัติกับแบรนด์เท่านั้น เป็นชุดน้ำหอมที่ใช้ชื่อชุดว่า “Les Créations de Monsieur Dior” ที่รู้สึกว่าจะมีแค่ 7 กลิ่น ถึงจะมีเหลือวางขายหลายกลิ่นแต่ในไทยเห็นแค่ 2 กลิ่น ที่วางขาย คือ Diorissimo edt กับ Forever and Ever ที่ขายอยู่ตอนนี้

ดังนั้นน้ำหอมขวดเก่า และกลิ่นเก่าๆ เหล่านี้มันเลยน่าเก็บเอาไว้ดู เอาไว้ลองกลิ่นเพื่ออ้างอิงมากจริงๆ ถึงรูปร่าง การสกรีนขวดดูเชยไปหน่อยตามยุคสมัยก็ถือเป็นการศึกษาศิลปะในแต่ละยุคละกัน

รูปที่ลงแต่จะกลิ่นอาจจะต่างกันหน่อยเรื่องแสงเพราะถ่ายเอาไว้ตอนที่ได้แต่ละขวดมาใหม่ๆ ซึ่งได้มาไม่พร้อมกันแสงเลยไม่เท่ากันมืดบ้าง สว่างบ้าง และเรื่องลองกลิ่นบอกตามตรงว่าไม่กล้ากดลองตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะลองกลิ่นกลัวเล่าไม่ถูกว่ากลิ่นมันเป็นแบบไหน บรรยายไม่ถูกขอหาประสบการณ์อีกนิดก่อนตอนนี้ต้องขอโทษผู้อ่านด้วย

.

Christian Dior Forever and Ever EDT. 50ml.

Christian Dior Diorissimo EDT. 30ml.

Christian Dior Remember Me EDT. 50ml.

Christian Dior I Love Dior EDT. 50ml.

Christian Dior Dior Me Dior Me Not EDT. 7ml.

Perfume Blog: VERSACE EROS Pour Femme EDP

VERSACE EROS Pour Femme เปิดตัวในปี 2014 เป็นน้ำหอมกลิ่นแนว Floral Woody Musk มีคอนเซ็ปของกลิ่นคือ ความน่าสนใจ ความหลงใหล เป็นกลิ่นแสดงความแข็งแกร่งของผู้หญิง โดยน้ำหอมมีโน้ตกลิ่นต้นคือ เลมอน มะกรูด ทับทิม กลิ่นกลาง ดอกมะนาว ดอกมะลิ และดอกโบตั๋น กลิ่นฐาน Ambrox ไม้จันทร์หอม และ มักส์ ตามที่ในเว็บไซต์ของ VERSACE บรรยายกลิ่นไว้ประมาณว่า

“Attraction, desire, passion. Eros in a perfume. An alchemy of seductive, luminous and feminine notes. A refined accord of lemon and jasmine, enhanced with soft and sensual woods. Attraction: Vibrant and precious, the Sicilian lemon and Calabrian bergamot draw attention with their brilliance. Delicious and inviting pomegranate seeds surprise and seduce. Desire: The jasmine infusion and the Jasmine Sambac Absolute convey an authentic and timeless femininity. Peony petals lend a velvety touch, while the luminous lemon flower exalts the floral accord and recalls Versace’s tradition and homeland. Passion: Finally the ambrox is unveiled, mysterious and deep. It is accompanied by an accord of sensual woods, sandalwood and musk, revealing intense and enchanting notes.”

กลิ่นเปิดมาสดชื่นเหมือนมะนาวพร้อมกับกลิ่นแบบดอกไม้ ผลไม้ โปร่งๆ ให้ความหวานบางๆ กำลังดี จากกลิ่นที่หอมดอกไม้สีขาว กับผลไม้เหมือนลูกแพรฉ่ำๆ จะมีกลิ่นที่ทำให้สะดุดกลิ่นคล้ายไม้หอมอะไรสักอย่างผสมอยู่ในกลิ่นหอมนั้น ทำให้รู้สึกแปลกไปจากน้ำหอมแนวกลิ่นผลไม้ดอกไม้ที่พบเจอ มีความติดเขียวนิดหน่อยที่ให้รู้สึกชุ่มชื่น โปร่งสบาย

คิดว่ามันเป็นน้ำหอมแนวฟลอรัลฟรุ๊ตตี้ที่กลิ่นเบา โปร่ง สบายจมูก ไม่หวานฉ่ำจนเกินไปที่เหมือนน้ำหอมผู้หญิงที่พบบ่อย กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่หวาน นวลบาง ละเอียดอ่อน แต่ก็มีความฉ่ำ หนักแน่นแข็งแรงแบบผู้หญิงมั่น กลิ่นมันเหมาะกับฤดูร้อนและสภาพอากาศแบบบ้านเรามากๆ สามารถทำให้รู้สึกเหมือนอาบน้ำเย็นๆ หรือสระผมเสร็จใหม่ๆ ด้วย จะว่าไปกลิ่นมันเข้ากันได้กับ EROS ของผู้ชายอยู่นะ แต่ของผู้ชายกลิ่นจะหนักหวานฉ่ำนัวนวลไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นกลิ่นที่ดีเหมาะกับอากาศร้อนเลยละ

เป็นกลิ่นที่หอมแบบที่น่าจะถูกใจใครหลายคน แต่ก็ดูธรรมดาไปเหมือนกันสำหรับคนที่ลองกลิ่นมาหลากหลายแล้ว มันออกจะคล้ายน้ำหอมดังๆ หลายยี่ห้อ เพราะด้วยความเปิดมาสดชื่นแบบผลไม้ซีตรัส พร้อมกับกลิ่นดอกไม้พวกมะลิ และกลิ่นมักส์หอมมัน ที่มันคล้าย J’adore ของ Dior แต่เป็นเวอร์ชั่นบางเบาสดชื่นกว่าแบบนั้นละ

VERSACE EROS Pour Femme EDP 50ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Perfume Blog: Dior Homme Intense EDP [2020]

Dior Homme Intense เปิดตัวมาปี 2011 ที่มีรุ่นแบบ EDT ออกมาด้วยที่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแนวกลิ่นไปแล้ว โดยกลิ่นนี้เป็นน้ำหอมผู้ชายที่หลายๆ คนพูดถึงแต่ก็เพิ่งได้มีโอกาสไปหยิบมาลอง ขวดที่ได้มาเป็นขวดหน้าตาแบบรุ่นใหม่ ปี 2020 เลยดูแปลกไปหน่อย ส่วนตัวชอบหน้าตาแบบขวดรุ่นเก่ามากกว่าดูเท่ดี แบบใหม่มีตัวหนักสือบนฝาดูเฉิ่มๆ ยังไงไม่รู้ ส่วนเรื่องกลิ่นนั้นเขาว่านุ่มคมเข้ม หล่อๆ เลยจริงไหมต้องมาลองกัน

กลิ่นเปิดมีความหอมฉ่ำๆ ที่หวานนิด แต่เย็น เป็นหอมแบบเข้มๆ ติดขม กลิ่นเหมือนใบไม้เวลาเปียกน้ำ ที่ให้กลิ่นขมไม่ชวนดมเท่าไหร่ กลิ่นมีความเย็น ได้กลิ่นครั้งแรกมันออกไปทางเหม็นไม่หอม จมูกต้องชินสักพักจะรู้สึกของความนุ่มนวลในช่วงกลางๆ จะกลิ่นได้กลิ่นช็อกโกแลตแทรกขึ้นมาชัดเจน โดยช่วงท้ายของกลิ่นให้กลิ่นหอมมันติดขมแบบช็อกโกแลตไปจนจบกลิ่น อยากบอกว่าแอบคล้าย Diptyque Fler de penu อยู่หน่อยๆ ด้วยเพียงแต่ Dior Homme Intense กลิ่นดาร์กและฉ่ำกว่ามาก

เป็นน้ำหอมที่เป็นกลิ่นแป้งหอมสะอาดๆ กลิ่นแห้งๆ มีความพลาสติกหน่อยๆ เป็นกลิ่นที่บอกว่าเป็นน้ำหอมผู้ชายชัดเจน ไม่มีความหวานเลย กลิ่นนุ่ม เย็น สุขุม หรู กลิ่นกระจายตัวช่วงแรกดีมาก แต่กลิ่นจะลดความกระจายตัวเร็วเหมือนกันจากที่ลองใช้มาสักพัก ส่วนตัวคิดว่ากลิ่นมันไม่ค่อยติดทนเท่าไหร่ ช่วงบ่ายๆ กลิ่นเริ่มจางมากแล้ว หรือว่าชินกลิ่นไม่รู้ไม่ค่อยได้กลิ่นสักเท่าไหร่หลังจากผ่านไป 3-4 ชั่วโมง แต่ไม่คิดมากเพราะพกขวดสเปรย์แบ่งขวดเล็กพกไปเติมด้วยอยู่แล้ว

เป็นกลิ่น Dior Homme กลิ่นแรกที่ได้ลองแล้วก็ติดใจถึงจะไม่ทันทีก็เถอะ ครั้งแรกคิดว่ากลิ่นมันไม่หอมเลย เหม็นแปลกๆ แต่พอลองไปสักพักกลับชอบอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นนี้มันเป็นกลิ่นที่บอกยากว่ามันเป็นกลิ่นของอะไร หรือเหมือนกลิ่นอะไร สมองตันไปหมดคิดไม่ออก รู้แต่่ว่ามันเป็นกลิ่นผู้ชายหอมๆ หน่ะ เอาแค่ว่ามันหอมละ แนะนำให้ลองสักครั้ง

อ่านรีวิวเมืองนอกว่ากันว่ากลิ่น Dior Homme Intense edp เป็นกลิ่นที่สามารถแทนตัว Dior Homme edt ตัว 2011 ตัวเดิมได้เพราะกลิ่นมีความเหมือนกันมาก แต่มีความสดชื่นมากกว่า เข้มข้นกว่า เพราะตัว Dior Homme edt 2020 ออกมาเป็นกลิ่นใหม่ที่ไม่เหมือนของเก่า แบบแยกออกมาสร้างความแตกต่างระหว่าง 2 กลิ่นความเข้มข้น ดังนั้นใครชอบ Dior Homme edt รุ่นก่อนหน้า ก็สามารถมาที่ Dior Homme Intense edp ต่อได้เลยเป็นกลิ่นที่มีความเข้มกว่าด้วยแนะ และบล็อกก็จะไปหา Dior Homme edt รุ่นก่อนหน้ามาลองอยากรู้เหมือนกันว่าเป็นอย่างที่ว่ากันไหม แต่บอกก่อนว่าเหมือนจริงเพราะลองซื้อแบบแบ่งขายมาลองกลิ่นละแต่ยังไม่อยากเอามาลงขอหาขวดจริงให้ได้ก่อน

Dior Homme Intense EDP 2020 100ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Perfume Blog: Vintage Collection: Guerlain Vol De Nuit, CHANEL COCO, Christian Dior POISON

หายไปนานกับคอเล็คชั่นน้ำหอมเก่า วันนี้น้ำหอมเก่าตัวล่าสุดเพิ่งส่งมาถึงบ้านถือเป็นโอกาสดีที่จะเอามาเล่าลงบล็อกทิ้งไว้ และเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ หนึ่งในน้ำหอมเก่าที่ต้องมีมาเสมอๆ ในช่วงหลังๆ นี้ก็คือ CHANEL COCO ครั้งนี้ก็โชคดีมากได้ขวดขนาด 50ml. แบบฝาเปิด Splash มาน้ำหอมเกือบๆ เต็มขวดด้วย ได้มาราคาที่ค่อนข้างถูกสำหรับสภาพแบนนี้ อีกตัวก็เป็น Guerlain Vol De Nuit edt กลิ่นนี้ไม่รู้จักเท่าไหร่ แต่เคยผ่านตามาบ้าง แต่ที่เลือกมาก็เพราะรูปร่างขวดมันสวยดี เจ้าของเก่าบอกว่ายังไม่เคยฉีดเลย ตั้งแต่ได้มาตอนไปเที่ยวต่างประเทศ ถือว่ามีประวัติที่ดีและควรเก็บไว้อย่างที่มันเป็นต่อไป ตัวสุดท้ายที่เพิ่งมาถึงวันนี้ก็คือ Christian Dior POISON Parfum ขวดสเปรย์น้ำหอมเข้มข้นขนาดเล็ก ที่รูปร่างแปลกตาสำหรับ POISON มาก ไม่เคยเห็นขวดแบบนี้มาก่อน ส่วนมากจะเห็นขวดกลมๆ รูปร่างแอ๊ปเปิลสีม่วงเข้มซะมากกว่า ขวดที่ได้มามีมาพร้อมกล่อง และน้ำหอมเหลือค่อนข้างเยอะได้มาแค่หลักร้อยก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะเก็บละ

เรื่องความเก่าของแต่ละขวดนั้นก็น่าจะ 30 ปี ขึ้นละมั้ง สังเกตที่กล่องของแต่ละขวดไม่มีบาร์โค้ดเลย เพราะบาร์โค้ดเพิ่งจะมีช่วงต้นปี 1990 นี้เอง อายุจะเท่าๆ กับตัวเองแล้วเนี่ย

น้ำหอมเก่ารอบนี้ได้มาแค่นี้ ที่ช่วงนี้ต้องเลือกเก็บสักหน่อยจะเก็บน้ำหอมเก่าทุกตัวที่เห็นไม่ได้อีกแล้ว ตู้ไม่มีที่ว่างแล้วไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ไหน และอีกย่างก็ต้องเก็บเงินเอาไว้เผื่อเจอน้ำหอมเก่าดีๆ ที่ถูกใจอยากได้จริงๆ จะได้มีเงินพอซื้อด้วย

CHANEL COCO Eau De Parfum 50ml.

Guerlain Vol De Nuit Eau De Toilette 30ml.

Christian Dior POISON Parfum 7.5ml.

แกะกล่อง SEIKO Prospex Automatic รุ่น SRPE95K1 [SEIKO TURTLE]

SEIKO Prospex Automatic รุ่น SRPE95K1 [SEIKO TURTLE]

ตัวนาฬิกามาในกล่องสวม 2 ชั้น ชั้นแรกเปิดขึ้นมาจะเจอเล่มคู่มือ เล่มแนะนำการใช้งานพร้อมการ์ดประจำตัวนาฬิกาด้านใน กล่องด้านในจะเป็นกล่องนาฬิกาสีดำเรียบๆ เปิดด้านในก็จะเจอนาฬิกาที่อยู่บนหมอนเล็กๆ

นาฬิกาตัวเรือนเป็นโลหะที่มีน้ำหนัก แต่ไม่มากเท่าไหร่ กรอบหน้าปัดสีแดง และน้ำเงินที่เป็นเอกลักษณ์ของ ฉายา “เต่าหน้าเป๊ปซี่” ส่วนนี้หมุนได้ ที่ไม่รู้ว่าต้องหมุนเพื่อจุดประสงค์อะไรไว้ศึกษาอีกที หน้าปัดแสดงเวลาและเข็มที่ใหญ่ชัดเจนชอบตรงนี้แหละ สายก็เป็นซิลิโคน พร้อมตัวเข็มขัดที่เป็นโลหะแบบรุ่นใหม่ ด้านหลังตัวเรือนก็เป็นตราโลโก้ของรุ่น กับตัวหนังสือระบุรายละเอียดของตัวเรือนนาฬิกา ที่ใช้ตัวเครื่อง 4R36

จากที่เลือกรุ่นนี้มาเพราะหน้าตาดูดี และสีกรอบที่ถูกใจแล้วนั้นก็ไม่ผิดหวังเพราะมันสวยจริง ใส่แล้วดูไม่เป็นทางการเกินไปเหมือนสายโลหะ ตัวสายที่เป็นซิลิโคนนั้นให้สัมผัสนุ่มลื่นดี แต่ใช้ไปนานๆ จะมีกลิ่นแปลกๆ เหมือนพวกสายเรซินไหมต้องรอดูอีกที นี่คือปัญหาที่เลี่ยงซื้อนาฬิกาที่สายเรซินมาตลอด

ปัญหาแรกที่เจอตอนใส่นาฬิกาคือ ไม่รู้ว่าต้องหมุนมากแค่ไหนตัวเครื่องถึงจะมีพลังงานตลอดวัน เพราะมันเกิดหยุดเดินไปครั้งนึงทั้งที่ใช้งานมา 2 วันแล้ว และก็ได้หมุนเพิ่มก่อนไปแล้วพอสมควร คิดว่าน่าจะหมุนไม่พอ และตอนใช้งานขยับตัวไม่มากพอละมั้งเลยเก็บพลังงานได้น้อยไปหน่อย เดี๋ยวต้องลองอ่านศึกษาข้อมูลจากบอร์ดต่างๆ แล้วปรับตัวอีกที เปลี่ยนมาจากนาฬิกาพลังงานแสง มา Automatic ครั้งแรกก็เลยงงปรับตัวไม่ทันซะงั้น

แกะกล่อง UAG PATHFINDER Forest Camo iPhone12 Pro Max

ครั้งก่อนที่หาเคสให้ iPhone12 Pro Max แบบเรียบๆ ราคาไม่แพงไปแล้ว คราวนี้ก็กลับมาหายี่ห้อประจำอย่าง UAG  บ้าง เพราะยังไม่เคยลองใช้รุ่น PATHFINDER เลยสักครั้งที่รุ่นนี้มักจะมีสีพิเศษ ลายพิเศษ ที่มีแต่เฉพาะเคสของ iPhone ไม่ค่อยทำลายพิเศษให้รุ่น Samsung และยิ่งตระกูล Note แล้วไม่มีเลยมีแค่สีพื้น สีหลักๆ สองสามสีเท่านั้น ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะเอามาลองใช้ PATHFINDER สีที่เลือกมาเป็นสีเขียวมะกอกลายพรางทหาร หรือ Forest Camo นั่นแหละ

แพ็คเกจด้านหน้าด้านหลัง ก็ไม่มีอะไรพิเศษเหมือนกับกล่องรุ่นปัจจุบันของหลายๆ รุ่น แกะเคสมาตัวเคสเป็นวัสดุพลาสติก และพลาสติกกึ่งยาง โดยส่วนหัว – ท้าย ที่เป็นสีดำ จะเป็นพลาสติกกึ่งยางที่มีความนิ่มมากกว่าหน่อย ตัวเคสเองจะเป็นพลาสติกแข็งผิวด้านแต่มีการพิมพ์ลายทหารด้านหลังด้วยสีที่ออกเงานิดๆ ทับลงไป โดยรวมวัสดุให้สัมผัสที่ดีดูแข็งแรง เว้นแต่ส่วนที่เป็นวัสดุพลาสติกกึ่งยางโดยเฉพาะด้านล่างที่ค่อนข้างบาง และนิ้มย้วยกว่าส่วนอื่น ต้องลองใส่กับเครื่องดูว่าจะดีขึ้นไหม

พอใส่เข้ากับเครื่องแล้วมันเป็นเคสที่จับแล้วให้สัมผัสดี กระชับมือดีมาก ด้านหลังมีลวดลายผิวสัมผัสเอกลักษณ์ก็ยังคงทำให้จับแล้วกระชับไม่ลื่นดี และพิมพ์ลายทหารที่ให้สัมผัสติดมือขึ้นมามากหน่อย เพราะส่วนที่เป็นผิวพลาสติกสีพื้นด้านๆ นั้นค่อนข้างลื่นมือเลยละกลัวจะจับมือเดียวแล้วลื่นเหมือนรุ่น CIVILIAN

 

เป็นไปตามคาดบริเวณท้ายเครื่องด้านหน้าที่วัสดุเป็นพลาสติกกึ่งยางนิ่มๆ นั้นมันย้วยถ้ายเอามือไปโดนหรือดึงออกมา แปลกที่รุ่นนี้ใช้วัสดุแบบนี้ รุ่นอื่นๆ ก็สามารถทำให้ส่วนนึ้แข็งคงรูปได้นี่ กลัวฝุ่นกับทราบเข้าไปจริงๆ เลย แต่โดยรวมแล้ววัสดุ การจับกระจับมือมันดีมาก ให้ความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่ทำตกง่ายๆ และถึงทำตกก็ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะเป็นรอยละ ปุ่มกดต่างๆ ก็กดได้ง่ายไม่ต้องใช้แรงมากกว่าปกติ การตัดช่องสำหรับปุ่ม หรือพอร์ท ลำโพงต่างๆ นั้นเรียบร้อยมีความพอดีสวยงาม

Perfume Blog: Christian Dior Hypnotic Poison EDT

Christian Dior Hypnotic Poison เปิดตัวมาเมื่อปี 1998 เป็นทายาทของ Dior Poison ดั้งเดิม กลิ่นนี้ได้มาเพราะขวดอีกแล้ว คิดว่าจะเอาตระกูล Poison มาลองกลิ่นบ้าง แต่ก็เลือกกลิ่นนี้มาเพราะสีโดนใจกว่าตัวดั้งเดิมที่สีม่วงอมดำเฉยๆ กลิ่นนี้มีกลิ่นเด่นที่ Bitter Almond ดอกมะลิ และวนิลา

กลิ่นหอมสยองมาก กลิ่นหอมให้ความรู้สึกถึงดอกไม้ที่บานตอนกลางคืน กลิ่นหอมหวานแห้งๆ มีกลิ่นหอมมันเหมือนถั่ว ให้อารมณ์แบบกลิ่นพลาสติก กลิ่นแนวสังเคราะห์หน่อยๆ มีกลิ่นแบบน้ำมันก๊าดนิดๆ เป็นกลิ่นที่ค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนน้ำหอมกลิ่นดอกไม้หวานทั่วไป มันเป็นกลิ่นแนวดอกไม้ที่ไม่เหมือนกลิ่นธรรมชาติ เป็นกลิ่นที่ผิดคาดนึกไม่ถึง แต่มันมีความน่าหลงใหล น่าดมไปตลอด

นึกอยู่นานว่ากลิ่นแบบนี้มันเหมือนกับกลิ่นดอกไม้อะไร กลิ่นที่นึกออกคือกลิ่นแบบดอกสเลเต ดอกไม้สีขาวพวงๆ ที่โชยกลิ่นตอนกลางคืน เป็นกลิ่นหอมเย็นๆ ใส จนน่าขนลุกเลยทีเดียว สำหรับ Hypnotic Poison นี้ก็คิดว่าเป็นกลิ่นที่เรียกว่าน้ำหอมได้จริงๆ ละ แบบฉีดแล้ว หรือดมกลิ่นแล้วรู้ทันทีว่ามันคือน้ำหอม ไม่ใช่กลิ่นที่คุ้นเคยแบบกลิ่นธรรมชาติอะไรแบบนั้น

กลิ่นหอมไหม? กลิ่นมันหอมนะ กลิ่นมันก็ค่อนข้างแปลก กลิ่นคล้ายดอกไม้กลางคืน ใส เหมือนกลิ่นสังเคราะห์ แต่นี่แหละมันคือจุดเด่นของ Hypnotic Poison เค้าละ ให้อารมณ์ผู้หญิงลึกลับน่าค้นหาดี ทำไมถึงนึกถึงผู้หญิง ก็เพราะแนวกลิ่นมันแสดงออกชัดเจนมากว่าเป็นกลิ่นของผู้หญิง กลิ่นหอมใส ไม่มีความทุ้มนุ่ม ความดาร์กแบบผู้ชายเลย กลิ่นฟุ้งดีมากๆ ด้วย ฟุ้งจนกลัวคนอื่นฉุนเลยละ ติดทนนานโดยเฉพาะกลิ่นช่วงท้ายๆ ที่แอบฉุนนิดๆ ด้วย

Christian Dior Hypnotic Poison EDT 100ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Daily Blog+แกะกล่อง 11-inch iPad Pro (2nd generation)+Smart Folio+Smart Keyboard Folio

วันนี้จะมาเล่าเรื่องซื้อ iPad มาใช้งาน ไม่เคยคิดที่จะซื้ออุปกรณ์แท็บเล็ตพวกนี้มาใช้เลยตั้งแต่ซื้อ Samsung TabA มาครั้งก่อน เพราะไม่ค่อยได้เอามาใช้งานจริงจังสักเท่าไหร่ แค่เอาไว้วาดรูปในจอกว้างเฉยๆ ดูหนังฟังเพลงพิมพ์งาน ก็ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหมด เล่นเน็ตอะไรง่ายๆ ทั่วไปก็เล่นผ่านมือถือปกติ เลยไม่คิดที่จะซื้อแท็บเล็ตอีกเลย

จนช่วงต้นปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ Covid19 ขึ้นและต้องทำงานที่บ้านมากขึ้นช่วงนี้แหละทำให้ความคิดที่จะซื้อแท็บเล็ตเริ่มเข้ามาในหัว และก็วนอยู่ในหัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนตัดสินใจซื้อ iPad Pro มานี่หละ ความคิดหลักๆ ที่จะเอามาใช้งานก็เพราะคิดว่าจะเอามาใช้แทนคอมพิวเตอร์ที่บ้านในการทำงานที่ไม่ยุ่งยาก พกพาไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ ได้ น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ต้องสามารถเขียนหน้าจอได้แบบจริงจังได้ด้วย

มีทางเลือกหลักๆ แค่ 2 ยี่ห้อ คือ Samsung กับ Apple แต่เรามีคำตอบในใจอยู่แล้วละว่าจะเอา iPad ของ Apple เป็นเพราะ App Procreate® ที่ใช้วาดรูป เขียนตัวหนังสือต่างๆ ที่เป็นที่นิยมกันนี่แหละ อยากลองใช้งานมากดูรีวิวการใช้งานจากหลายๆ คนแล้วน่าใช้งาน อีกอย่างก็เพราะอยากกลับไปที่ ios อยากรู้ว่าปรับปรุงไปมากแค่ไหนแล้ว เบื่อ Android หน่อยๆ ถึงฟังก์การใช้งาน ลูกเล่นเยอะ แต่อยากใช้งานอะไรที่ง่ายๆ ธรรมดา ไม่ต้องคิดเยอะบ้าง

กดสั่งซื้อไปผ่านเว็บของ Apple โดยตรงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน ได้รับเครื่องประมาณวันที่ 4 ธันวาคม แต่ได้รับจริงๆ วันที่ 3 ธันวาคม รอนานมาก สงสัยรอผลิตเครื่องอยู่ได้รับเมล์ก่อนวันที่ได้รับประมาณ 2-3 วัน จัดส่งจากสิงคโปร์มาเร็วทันใจ อุปกรณ์เสริมที่สั่งไปมาถึงก่อนกันหมดแล้ว แปลกใจที่คนส่งพัสดุในไทยมีหลายบริษัทที่มารับช่วงต่อ มีทั้งส่งมาจากสิงคโปร์ และส่งมาจากในไทยเองก็มี บริษัทที่ขนส่งมีทั้ง UPS DHL Kerry บ้านเราก็มี เรียกว่าการจัดส่งของ Apple ค่อนข้างตรงกับวันที่แจ้งตอนจัดส่งมากประทับใจจริงๆ

สั่ง iPad Pro ครั้งนี้ลองกดเพิ่มห่อของขวัญมาด้วย อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงพอพัสดุมาเปิดกล่องก็เจอการแพ็คพัสดุสไตล์ Apple พร้อมกับกล่องสีขาว ริบบิ้นยางยืดสีแดง มีการ์ดที่หน้ากล่อง การ์ดด้านในซองระบุข้อความที่เราระบุตอนสั่งซื้อ พิมพ์ออกมาทื่อๆ ตัวหนังสือเล็กจิ๋ว ไม่จัดกึ่งกลางอะไรทั้งนั้น แบบว่าเขียนการ์ดเอาเองจะดูสมราคาซะมากกว่า การห่อของขวัญก็เป็นแค่กล่องแจ็คเก็ตคลุมไว้กับยางยืดรัดมุมเฉยๆ แค่นั้นไม่ได้พิเศษอะไร โอเค! หมดความสงสัยกับบริการห่อของขวัญละ

11-inch iPad Pro (2nd generation) – Wi-Fi + Cellular – 256GB – Space Gray

เปิดกล่องที่ห่อมาก็เจอกล่อง iPad Pro สีสดใสด้านใน แกะกล่องมาด้านในก็จะมีตัวเครื่อง กล่องเอกสารคู่มือ แนะนำการใช้เบื้องต้น สติ๊กเกอร์ Apple 2 อัน สายชาร์จ USB-C to USB-C ปลั๊ก 20W ตัวที่ขายแยก อย่างละ 1 ชิ้น

ตัวเครื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับหน้าจอที่อยู่ในขอบบางๆ ดูสวยดี เครื่องค่อนข้างบาง ด้านหลังเรียบๆ มีชุดกล้องสี่เหลี่ยม กับ โลโก้ แค่นั้น ด้วยความบางของมันลองกดด้านหลังดูก็มีความยุบตัว มีเสียงอะไรสักอย่างด้านในดีดตัวด้วย ตอนรีดฟิล์มหลังนั้นรู้สึกชัดเจนว่ามันยุบ แต่มันยังไม่งอนะโชคดีไป

ซื้อฟิล์มกันรอยมารอแล้ว 3 กล่อง หน้าจอ 2 แบบ แบบใสธรรมดา กับแบบฟิล์มกระดาษ แต่ดูรีวิวฟิล์มกระดาษแล้วน่าใช้งานมากเลยซื้อมาเตรียมรอเครื่อง แต่จุดที่หลายๆ คนไม่พูดถึงคือเรื่องความคมชัดของหน้าจอเมื่อติดฟิล์มกระดาษ เพราะคิดว่าฟิล์มกระดาษก็คือฟิล์มด้านที่เรารู้จักกันนี่แหละ ฟิล์มด้านแบบนี้เมื่อใช้งานแล้วจะเป็นอาการขุ่น เบลอ ภาพที่แสดงจะไม่ชัดเจน เกิดเม็ดสีเล็กๆ ได้ เลยหารีวิวต่างประเทศที่ลองใช้ฟิล์มแบบนี้ถึงเจอว่าเกิดปัญหานี้ขึ้นเหมือนกัน สรุปเลือกที่ไม่ติดฟิล์มกระดาษเพราะต้องการเห็นจอที่คมชัดเท่านั้น ฟิล์มกันรอยที่ใช้ตอนนี้เลยเลือกติดแบบใส่ปกติ ฟิล์มหลังแบบขุ่นที่มีขอบคลุมด้านข้างติดค่อนข้างยาก และทำให้อารมณ์เสียเวลาติดด้วย

อุปกรณ์เสริมที่ซื้อมาให้ iPad Pro เครื่องนี้ อย่างแรกก็ Apple Pencil (2nd Generation) ราคาแพง แต่มันก็ต้องใช้ด้วยกัน เอาไว้วาดรูป จดบันทึกประชุม เขียนบล็อกประจำวันอะไรแบบนี้ กล่องเป็นกระดาษแข็งอย่างดี เปิดแบบสไลด์ ด้านในมีแค่เอกสารประกอบตัวดินสอเท่านั้น ไม่แถมหัวดินสอหมือนรุ่นแรก เลยซื้อหัวปากกาสำรองมาเก็บเตรียมไว้เผือได้ใช้ 1 กล่อง มี 4 ชิ้น ตัวดินสอเป็นพลาสติกผิวสากด้าน ไม่มันเงา จับได้ถนัดมือ น้ำหนักดีพอดีมือ หัวดินสอเป็นพลาสติกแข็ง

เคส Smart Folio สำหรับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 2) เคสบางๆ ที่ตอนแรกคิดว่าอยากได้แค่นี้ อยากได้แบบบางๆ พกง่าย แต่มันดันไปเห็นแบบมีคีย์บอร์ดแล้วเกิดความคิดอยากพิมพ์งานนอกสถานที่มาซะอย่างงั้น ทำไงได้คงต้องเอามาอีกอัน เคส Smart Folio อันนี้มันบางดีมาก ไม่มีขอบเกาะตัวเครื่องใช้แม่เหล็กติดด้านหลังตัวเครื่องแทน ปรับระดับการวางได้ 2 ระดับค่อนข้างสะดวกเลยเวลาพกพา วัสดุเป็นผิวนุ่มเหมือนซิลิโคนหนืดๆ ลื่นๆ จับฝุ่น และรอยมันของนิ้วมือดีมาก

เคส Smart Keyboard Folio สำหรับ iPad Air (รุ่นที่ 4) และ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 2) เคสคีย์บอร์ดที่ทำให้ iPad Pro ของเราน่าพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ตามความคิดที่คิดตอนนั้น ราคาแพงมาก++ แต่ด้วยความอยากได้อุปกรณ์เสริมของแท้เลยต้องลงทุน จะได้ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังตอนซื้อของยี่ห้ออื่นแล้วมันไม่ดีอย่างที่คิด ตัวเคสวัสดุผิวคลายซิลิโคนหนืดๆ เหมือนกับ Smart Folio แบบปกติ ปรับระดับการวางได้ 2 ระดับเหมือนกัน

ตัวคีย์บอร์ดเป็นลักษณะเหมือนแผ่นยางยขึ้นรูปที่คลุมด้วยวัสดุแบบผ้าทำให้ตัวแป้นคีย์บอร์ดมีพื้นผิวสากๆ ทำให้ไม่ลื่นเวลาพิมพ์ตัวหนังสือ สัมผัสที่ได้จากการพิมพ์ก็ใช้ได้ ปุ่มไม่ได้เด้งแบบอิสระ หรือเสียงดังเหมือนคีย์บอร์ดปกติ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่กดปุ่มอยู่ไม่ได้แย่เลย

เวลาปิดฝาเคสแล้วความหนาของตัวเครื่องก็เพิ่มขึ้นไม่มาก น้ำหนักก็เพิ่มมานิดหน่อยแต่ก็ไม่หนักเกินไป ข้อสังเกตุอย่างนึงคือพอปิดฝาตัวคีย์บอร์ดจะปิดไปบนหน้าจอกระจกอาจจะทำให้เกิดรอยบนกระจกได้หากสัมผัสกันเป็นเวลานาน ติดฟิล์มก็ช่วยได้แต่รอยจะเป็นเกินบนฟิล์มแทน แก้ไขโดยเอากระดาษสอดคั่นไว้ตอนปิดฝาน่าจะช่วยได้

Perfume Blog: Christian Dior Miss Dior Le Parfum

Miss Dior Le Parfum เปิดตัวมาปี 2012 และก็หยุดการผลิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็น Miss Dior ที่ออกมาเพิ่มความเข้มข้นของกลิ่นเดิม โดยเป็นความเข้มข้น Parfum ในเว็บของ Dior บรรยายกลิ่นไว้ว่า เป็นกลิ่นแนว Oriental Floral ที่ให้ความน่าสนใจ และยั่วยัว โดยมีกลิ่นที่โดดเด่นของ กุลหลาบ (Grassee Rose Absolute) พัชชูลี ( Indonesian Patchouli Essence) ส้ม (Tunisian Orange Blossom Absolute, Siciian Mandarin) และ วนิลา (Vanilla)

กลิ่นหวาน กลม ครีม เหมือนกลิ่นส้ม เป็นกลิ่นที่ค่อนข้างเข้ม มีกลิ่นวนิลาบางๆ กระจายตัวอยู่ในกลิ่นเพราะมันไม่เชิงจะเหมือนวนิลาอย่างที่เรารู้จักเท่าไหร่ มีกลิ่นดอกไม้ที่ให้อารมณ์เหมือนดอกไม้แห้ง กลิ่นคล้ายดอกกุหลาบอมเปรี้ยว กลิ่นช่วงกลางหอมหวาน อมเปรี้ยว ที่ฉ่ำมาก

โทนกลิ่นโดยรวมเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนเครื่องเทศฉุน แต่ก็มีความหอมของส้มที่ทำให้มันไม่ฉุนไป พร้อมด้วยกลิ่นแนวดอกกุหลาบหวานอมเปรี้ยวฉ่ำ และหอมมันอบอุ่นแบบกลิ่นวนิลา ที่มันออกไปทางกลิ่นเครื่องเทศมากหน่อยคงเป็นเพราะพัชชูลีที่อยู่ในโน้ตของกลิ่นทำให้กลิ่นออกไปทางนั้น ต้นกลิ่นไม่รู้สึกถึงพัชชูลีเท่าไหร่ รู้แค่ว่ามันมีกลิ่นเครื่องเทศแห้งๆ เข้มๆ อยู่ปลายกลิ่น แต่พัชชูลีจะรู้สึกได้มากขึ้นในช่วงหลังๆ เมื่อกลิ่นดอกไม้เริ่มจางลงจนกลายเป็นกลิ่นสุดท้ายจนจบกลิ่นเลย

อ่านรีวิวเมืองนอกเขาว่ามีกลิ่นอำพันในกลิ่นด้วย ส่วนตัวไม่รู้ว่ากลิ่นอำพันมันเป็นแบบไหนจริงๆ ก็เลยไม่อยากบอกว่ากลิ่นแบบนี้คืออำพันอ่ะนะ แต่มันก็หอมมากเลย หอมหวานแบบเข้มๆ อบอุ่น หรูหรา กระจายตัวแบบพอดีๆ บางทีคนก็บอกว่ากลิ่นแรงไป และกลิ่นมันก็ติดค่อนข้างทนอีกด้วย สำหรับคนที่ต้องการให้กลิ่นหวานอมเปรี้ยวของดอกไม้อยู่ติดตัวไปนานๆ แนะนำให้ฉีดบนเสื้อผ้ากลิ่นดอกไม้จะอยู่นานมากขึ้น

กลิ่นหอมหรู หวาน อบอุ่น กลิ่นดูเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ สุขุม น่าเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา เป็นกลิ่นที่เหมาะกับเวลากลางคืน อากาศเย็นๆ เพราะเป็นน้ำหอมที่กลิ่นค่อนข้างแรง แน่น บางคนอาจจะบอกว่ามันฉุนไปด้วยซ้ำ ส่วนตัวคิดว่าไม่ฉุน แต่กลิ่นแรงดี ชอบ กลิ่นโทนเดียวกับตัว EDP รุ่นปัจจุบัน แต่กลิ่นมันเข้มกว่า ฉ่ำกว่า กลิ่นลึกกว่า หอมแบบน่าพึงพอใจมากๆ เสียดายที่ไม่ผลิตแล้ว ใครอยากลองคงต้องหาซื้อแบบแบ่งขาย หรือตามร้านที่มีของค้างสต็อกที่เริ่มจะหายากแล้วละ

Christian Dior Miss Dior Le Parfum 75ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

แกะกล่อง SOLKLINT โคมไฟตั้งโต๊ะจาก IKEA

วันนี้จะเอาโคมไฟจาก IKEA เจ้าปัญหาที่เล่าไว้เมื่อครั้งก่อน มันคือโคมไฟรุ่น SOLKLINT ที่เป็นโคมไฟตั้งโต๊ะแบบแก้วที่มีโคมสีเทาขนาดใหญ่ ว่ามันเป็นยังไงถึงอยากจะได้ไอ้โคมไฟนี้มากขนาดนี้

รอบนี้ใช้บริการฝากหิ้วของ IKEA ตาม IG แทน เพราะตอนที่ซื้อในเว็บนั้นแสดงสถานะว่าไม่สามารถดำเนินการจัดส่งสำหรับของชิ้นนี้ได้ แต่จำนวนสต็อกบอกว่ามีแค่ที่ IKEA สาขาบางใหญ่เท่านั้น เลยใช้บริการรับหิ้วของแทน วันที่คนหิ้วไปดูก็ถ่ายรูปแจ้งกลับมาว่ามีของอยู่ 1 ชิ้นพอดี โชคดีมาก

โคมไฟมาในกล่องสี่เหลี่ยมสีขาว ที่ระบุชื่อรุ่น กับรูปภาพประกอบ พอให้รู้หน้าตาสินค้า เปิดกล่องมาก็เจอโคมไฟอยู่ในกล่อง โคมไฟใหญ่มากคับกล่องเลย ในกล่องก็มีแค่ตัวโคมไฟ กับคู่มือ รายละเอียดของสินค้า ไม่มีหลอดไฟแถมนะต้องซื้อเพิ่มเอง ใช้หลอดไฟขนาด E27 ที่แนะนำหลอดไฟ LED แบบใส เลยฝากหิ้วมาพร้อมกับโคมไฟเลย

พอเห็นของจริงแล้วอยากบอกว่ามันใหญ่มาก และคุณภาพดีใช้ได้เลยสำหรับราคาแค่ 399 บาท ตัวฐานด้านนอกเป็นโลหะที่ค่อนข้างหนาสีทอง ด้านในเป็นแกนพลาสติกใส่หลอดไฟ สายไฟสีดำปกติมีสวิชท์เปิดเปิดตรงสายด้วย ตัวโคมทำจากแก้วขึ้นลายเคลือบสีเทาโปร่งใส ขนาดใหญ่และหนัก พอใส่หลอดไฟดูแล้วสวยใช้ได้เลย

แกะกล่อง OtterBox Lumen Series AirPods Pro Case เคสแอร์พอดแบบใส

ตอนสั่ง AirPods Pro จากเว็บ Apple ตอนจะเช็คเอาท์มีอุปกรณ์เสริมเด้งขึ้นมาให้เลือก มองไปเห็นเคส AirPods Pro 2 รุ่น แบบเคสผ้า กับ แบบเคสใสแบบมีที่ห้อย ราคาเท่ากัน เลยลองเลือกแบบเคสใสมาลอง ก็เพราะว่ามันมีที่ห้อยจะได้ไม่ต้องหาวิธีเก็บให้วุ่นวาย

การจัดส่ง Apple จากสิงคโปร์นี่เร็วพอๆ กับ EMS ของไปรษณีย์ไทยเลยนะ มาถึงรวดเร็ซทันใจมาก ตัวเคสมาใสกล่องกระดาษเห็นเคสข้างในก็ดูปกติดี

ในกล่องจะมีตัวเคส 2 ส่วน กับห่วงโลหะ 2 แบบ ตัวเคสเป็นพลาสติกแข็งใส กับแถบยางด้านนอก ด้านในมีโฟมเสริม 2 ข้าง เพื่อให้ใส่ได้แน่น ฝาด้านบนก็เหมือนกัน ห่วงเป็นโลหะมีแบบกลมเล็ก กับแบบแคปซูลยาวสีดำด้าน

ลองใส่กับ AirPods Pro แล้วก็สอดเข้าไปตรงๆ เคสค่อนข้างแน่นพอดี ต้องดันเข้าไปช้าๆ ไม่งั้นจะดันกับเคสเป็นรอยน้ำดูไม่สวย ส่วนของฝาก็เหมือนกัน ถ้าใส่ถูกพอดี ตัวเคสจะไม่มีรอยตัวเครื่องกับเคสกดกันจนเป็นรอยน้ำ แต่ถ้าจับตัวเคสก็จะมีรอยน้ำให้เห็นบ้างเพราะขนาดมันพอดีเป๊ะ

การใช้งานเปิดฝา ปิดฝาก็ปกติดี ไม่ติดขัดอะไร แต่เป็นห่วงเรื่องมันจะหลุดไหมเวลาเราห้อยไว้ที่กระเป๋า เพราะการใส่เคสเป็นการดันเขาไปเฉยๆ ลองเหวี่ยงไปมาดูก็ดูแน่นดีอยู่นะ ต้องลองใช้งานไปพักสักก่อนถึงจะวางใจเดี่ยวจะกลับมาเล่าเพิ่มทีหลัง

สรุปแล้วเป็นเคสที่สวย และดูน่าสนใจดี ชอบตรงที่มีที่ห้อยกระเป๋า และแถมห่วงมา 2 แบบด้วยคุ้มดี ชอบ ราคา 1,090 ก็แพงนะ แต่ก็สวยสมราคาละยี่ห้อนี้ ความทนทานก็น่าจะทนอยู่พลาสติกอย่างหนา อย่างมากน่าจะแค่เป็นรอยขูดขีดทั่วไป ไม่น่าจะแตกออกมา ใครสนใจลองเข้าเว็บ Apple ไปดูได้

แกะกล่อง Apple AirPods Pro และ Apple USB-C 20W Power Adapter

วันนี้จะมาแกะกล่อง Apple AirPods Pro กับ ปลั๊กรุ่นใหม่แบบ USB-C ของ Apple กัน ที่ซื้อ AirPods ก็เพราะกำลังจะย้ายกลับไปใช้ iPhone อีกครั้งเพราะด้วยอาการของ Galaxy Buds ที่ตลับชาร์จนั้นแบตเสื่อมอย่างมาก ต้องชาร์จวันละหลายๆ ครั้ง เลยถือโอกาสหาหูฟังใหม่ก็เลยเลือก AirPods Pro นี่ละ

ตัวแพ็คเกจยังคงเป็นกล่องกระดาษแบบสวม สีขาวสวยงามเหมือนกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ สไลด์ฝาขึ้นมาก็เจอก้อนกลมๆ รีๆ สีขาวห่อแถบพลาสติกวางอยู่ตรงกลางอย่างสวยงาม และกล่องเอกสารประกอบคู่มืออีกหลายฉบับ

ยกตัว AirPods Pro ขึ้นมาก็จะเจอแถบครึ่งวงกลมมีลูกศรสีเขียวให้ดึงขึ้น พอยกถาดขึ้นมาตามลูกศรก็จะเจอสายเชื่อมต่อแบบ USB-C to Lightning และจุกยางสำหรับเปลี่ยนหัวหูฟัง

ตัวเครื่องเป็นรูปวงรียาว สีขาวสะอาดเรียบง่าย ด้านหลังจะมีแถบสีเงินบริเวณบานพับ ด้านล่างเป็นช่องสำหรับเสียบสายชาร์จ โดยเคสชาร์จรุ่นนี้สามารถเอาไปวางชาร์จแบบไร้สายได้ด้วย

เปิดฝามาก็เจอชุดหูฟังที่รูปร่างโค้งมน ดูสวยกว่ารุ่นธรรมดาตรงที่ก้านหูฟังดูสั้นลง แต่ก็ยังดูพิกลอยู่เหมือนเดิม รูปร่างหูฟังดูเนียนดีมากทั้งตัวช่องลำโพง ช่องเซ็นเซอร์ ทั้งแถบควบคุมตรงก้านหูฟังที่กดแล้วจะมีเสียงคลิกเบาๆ ให้รู้สึก ที่คิดว่าปุ่มกดแบบนี้ ดีกว่าปุ่มแบบสัมผัสมากๆ ทั้งความมั่นใจ และความแม่นยำ ในการกดสั่งการด้วย

ส่องดูในตลับชาร์จ ด้านในจะมีชั้วทองแดงสำหรับชาร์จหูฟังด้านในลึกๆ ชอบเวลาเปิดเปิดฝามันเป็นเสียงแก๊บๆ เบาๆ ไม่เหมือน Galaxy Buds ที่เสียงดังมาก

ว่าด้วยเรื่องเสียงที่ได้ยิน ครั้งแรกที่ลองพอใส่เข้าหูปุ๊บมันรู้สึกหลุดไปอีกคนละโลกเลย ทุกอย่างมันเงียบกริบมาก ไม่อู้อี้ด้วย ระบบตัดเสียงเขาดีจริงๆ เสียงเพลงที่ลองฟังนั้นรู้สึกว่าเสียงค่อนข้างใส โปร่ง และแน่นโอเค ไม่ทุ้มกังวาน ตันๆ แบบ Galaxy Buds ที่คุ้นชิน และสามารถใช้งานจริงในท้องถนน เวลาขึ้นรถเมล์รู้สึกได้เลยว่าได้ยินเสียงรอบข้างนะ แต่มันเป็นเสียงพื้นหลังเท่านั้น เป็นแบบที่ต้องการเลย ที่ฟังเพลงชัดเจน และสามารถได้ยินเสียงรอบข้างนิดๆ เพื่อให้รู้ตัวเวลามีรถ หรือมีอะไรมาใกล้ๆ ได้ ไม่เหมือน Galaxy Buds Live ที่มีเสียงรอบข้างเป็นเสียงหลังที่ได้ยิน และเสียงเพลงที่เปิดเป็นเสียงพื้นหลัง

ส่วนระบบเปิดเสียงรอบข้างนั้นมันสุดยอดมาก เปิดระบบปุ๊บนึกว่าถอดหูฟังออกแล้ว มันใส มันเคลียร์ได้ยินทุกอย่างชัดเจนมาก ไม่เหมือน Galaxy Buds ตัวเดิมที่เปิดเสียงรอบข้างก็เป็นเหมือนเสียงซ่าๆ ที่รับมาจากไมค์แถมอู้อี้อีกต่างหาก ไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่เปลี่ยนมาใช้ Air Pods Pro อันนี้บอกเลย ถามว่าแล้วเสียงดีกว่าพวก Galaxy Buds, Buds Live ไหมละ เสียงดีเลยละ Galaxy Buds ให้เสียงที่ดีพอๆ กัน แต่สำหรับ Galaxy Buds Live นั้น  AirPods Pro เสียงและคุณภาพฟังก์ชั่นต่างๆ ดีกว่ามากแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว AirPods Pro Wireless Charging Case ราคาตอนได้มาเป็นช่วงที่ Apple ประกาศลดราคาแล้ว ได้มาที่ 8,992 บาท

ต่อมาเป็นปลั๊ก Apple USB-C 20W Power Adapter ที่ Apple แยกออกมาขายต่างหาก จริงๆ ไม่ต้องซื้อก็ได้ ปลั๊กมีเยอะแยะแต่ด้วยความที่อย่างน้อยก็อยากใช้อุปกรณ์เสริมของแท้เพื่อความสบายใจเลยกดซื้อให้จบๆ ไป

ในกล่องไม่มีอะไรมาก มีแค่ตัวปลั๊ก กับเอกสารรายละเอียด เท่านั้น ตัวปลั๊กเองก็มาในสภาพห่อพลาสติกสวยงามอยู่ในบล็อกกระดาษกันกระแทกอย่างดี

ผิวสัมผันของปลั๊กเป็นพลาสติกมันเงาสีขาวสวย กับขาปลั๊กแบบแบน ท้ายปลั๊กมีแค่รู USB-C แค่นั้น การชาร์จมารอบนี้สมารถชาร์จได้เร็วกว่าปลั๊กแบบเดิม ผ่านปลั๊กรุ่นนี้ที่ 20W งานประกอบก็ยังคงแน่นดี แข็งแรงตามสไตล์ Apple ราคาอันละ 690 บาท

แกะกล่อง RHINOSHIELD SOLIDSUIT iPhone12 Pro Max Carbon Fiber

ซื้อมือถือใหม่ก็ต้องมีเคสใหม่ ความคิดนี้เริ่มผุดขึ้นมาในหัวหลังจากที่ไม่ชอบใส่เคสให้มือถือ จนใส่เคสบางๆ สวยๆ ทำตกพื้น และพบว่าเคสบางๆ วัสดุดีพรีเมี่ยม ผลิตกระสวยอวกาศนั้นไม่ได้ช่วยอะไร จนเป็นที่มาของความคิดที่ว่าต้องหาเคสดีๆ ทนๆ แน่นๆ ให้มือถือของเรา เป็นประสบการณ์ของการทำ Note20UL ตกพื้นเมื่อเดือนก่อน

เคสทีมองไว้ก็มีหลายยี่ห้อทั้งยี่ห้อประจำ UAG และก็ยี่ห้อใหม่ๆ แต่อยากได้เคสที่ดูง่าย ดูธรรมดา ไม่หวีอหวา หรือดูเท่มากมาย อะไรแบบนั้น จนมาเจอ RHINOSHIELD SOLIDSUIT เป็นยี่ห้อที่เคยใช้มาก่อนแต่คราวนี้ดีไซน์เคสออกมาได้เรียบง่ายกว่าทุกทครั้ง คงเป็นเพราะด้วยตัว iPhone เองก็รูปร่างเรียบง่ายลง ไม่มีขอบโค้ง สันโค้งมนอะไร ก็ทำให้เคสดูสวยแบบธรรมดาชึ้นได้ ตัวเคสมาในกล่องพลาสติกแบบปกติทั่วไป สั่งมาจากร้าน Vgadz ที่เป็นผู้นำเข้าหลักใน Shopee ราคา 1,325 บาท

ตัวเคสยังคงเป็นพลาสติก ยางๆ ที่ดูแข็ง และก็ยืดหยุ่น ด้านในเป็นลายหกเหลี่ยมซับแรงกระแทกเหมือนทุกครั้ง ตัวผิวเคสยังคงเป็นแบบด้านที่สามารถลอกออกมาได้เหมือนที่เคยใช้งานมา ด้านหลังเป็นลายคาร์บอนไฟเบอร์ ปลอมๆ ให้ความรู้สึกเป็นพลาสติกลื่นๆ ไม่ติดมือเท่าไหร่ แต่ดูโดยรวมแล้วรวยงามดี

ขอบด้านหน้าเท่ากันทั้งหมด ด้านข้างเรียบแบนไปกับตัวเครื่องไม่มีนูนหัวท้าย เหมือนเคสยี่ห้ออื่นๆ แบบนี้สิทำให้มันดูเรียบง่ายน่าใช้ขึ้นเยอะ พอใส่กับเครื่องแล้วเคสแน่นพอดีไม่มีอาการหลวมหรือขยับ ขอบด้านข้างไม่ยืดไม่บวม คงรูปแน่นดี ปุ่มกดกดง่าย สัมผัสดีปกติ ไม่แข็งหรือนิ่มไปแต่อย่างใด แถมถอดเปลี่ยนสีได้อีก การถือจับตัวเครื่องเรียกว่าดี แต่ยังมีความรู้สึกลื่นมือนิดหน่อยต้องรอการคุ้นชินอีกสักพักน่าจะโอเค

สรุปแล้วเป็นเคสที่ดูสวย เรียบง่าย แน่นหนา และน่าจะทนทนอย่างที่ต้องการ ราคาไม่แพงมากถ้าตกไปเป็นรอยก็ไม่เสียดายเท่าไหร่แต่ขอไม่ทำตกอีกดีกว่านะ

Perfume Blog: The Body Shop BLACK MUSK Perfume Oil

The Body Shop Black Musk กลิ่นนี้เปิดตัวเมื่อปี 2015 เป็นกลิ่นที่แตกออกมาตาม White Musk ที่มีมาตั้งแต่ปี 1981 เป็นกลิ่นที่บรรยายว่าเป็นกลิ่นที่สื่อถึงอีกด้านของแสงสว่าง ที่ครั้งก่อนลองขวดสีม่วง White Musk กันไปแล้ว ครั้งนี้ได้ Black Musk มาช่วงตอนลดราคา 11.11 ถ้าไม่ลดราคาก็คงไม่มีโอกาสได้หยิบมาลองกลิ่นหรอก

กลิ่นเปิดมาหวานอ่อนๆ หอมเหมือนครีมบนหน้าเค้ก กลิ่นวนิลา อมเปรี้ยวเหมือนผลไม้ หอมนุ่ม เบา สะอาด กลิ่นมักส์ที่บางแทบจับกลิ่นไม่ได้ พอน้ำมันเริ่มซึมแห้งไปสักพักจะเหลือแค่กลิ่นหวานๆ เหมือนผลไม้บางอย่าง กับกลิ่น “หอมมัน” ของวนิลาบางๆ เป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนกับ White Musk เลยสักนิดเดียว ถึงจะชื่อ Black Musk แต่กลิ่นกับหอมหวาน อ่อนโยน ซะงั้น ถ้าถามว่ากลิ่นเหมือนอะไร กลิ่นมันเหมือนครีมบนหน้าเค้ก ที่มีแยมผลไม้ หวาน หอมวนิลา อมเปรี้ยวของแยมผลไม้น่ากิน

ถ้าให้เลือกระหว่าง White Musk กับ Black Musk ก็คงต้องเลือก Black Musk หละ เพราะกลิ่นมันดูเป็นน้ำหอมมากกว่า หอม หวานอ่อนๆ นุ่ม เบา ดูน่าดมกว่ากลิ่น “สะอาด” แบบ White Musk แต่กลิ่นรุ่นพวก Perfume Oil ของ The Body Shop นี่มันอ่อนแรงมากเลย กลิ่นเบาเกินไป มันกลายเป็นแค่กลิ่นบนผิวที่ลอยมาเวลาลมพัดผ่านเท่านั้นเอง และก็เป็นกลิ่นอ่อนตั้งแต่เริ่มต้นซะด้วย ติดทนไหมก็ไม่แน่ใจเพราะไม่ค่อยได้กลิ่น บางครั้งสายๆ บ่ายๆ ลมพัดมาก็พอจะรู้สึกถึงกลิ่นได้บ้าง

The Body Shop BLACK MUSK Perfume Oil 20ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

แกะกล่อง UAG MONARCH Samsung Galaxy Note20 Ultra

วันนี้จะมาเล่าเรื่องได้เคสมือถือใหม่มาใช้ เป็นเคสของ UAG รุ่น MONARCh ที่ยังไม่เคยซื้อมาใช้งานเลย เพราะมันแพงมาก เป็นรุ่นที่แพงที่สุดของยี่ห้อนี้เลย ที่หาเปลี่ยนเคสมือถือใหม่ก็เพราะ ได้ทำมือถือตกพื้นปูนซีเมนต์ ไปแล้ว เป็นการตกพื้นครั้งแรกในรอบเกือบสิบปีได้ ซึ่งเคสที่ใส่อยู่ตอนนั้นก็คือ PITAKA Air Case เป็นเคสเคฟล่าบางๆ เท่านั้น ก็ตามคาดละตกจน ตัวเครื่อง กับเคสกระเดนไปคนละทาง ตัวเคสก็บาดเจ็บจนไม่สามารถนำมาใช้งานได้อีก เคสแตกตรงจุดที่ตกเลย เล่นเอาตัวเครื่องเป็นรอย กระจกก็เป็นรอยเจ็บใจมาก ก็นี่แหละเลยทำให้มาหาเคสใหม่

เคสใหม่ที่อยากได้คิดไว้ว่าก็ต้องจับถนัดมือ และที่สำคัญต้องดูดีด้วย เลยมาจบที่ UAG MONARCH เพราะดูท่าทางจะแข็งแรง ทนทาน และที่สำคัญมันดูสวยดีอีกด้วย

ตัวเคสยังคงทำจากวัสดุคล้ายพลาสติก และยาง ผสมกันเหมือนรุ่นอื่นๆ ของ UAG แต่มันจะแข็งกว่าหน่อย ด้านข้างเป็นสันเรียบ ไม่โค้ง จับได้เต็มนิ้ว เต็มมือ ด้านหลังมีลวดลายเอกลักษณ์ของยี่ห้อ วัสดุเป็นเฟรมพลาสติกสีดำ ลายด้านหลังเป็นลายเคฟล่า ที่ไม่รู้ว่าทำจากแผ่นเคฟล่าจริงรึเปล่า เป็นวัสดุผิวเรียบ ลื่น แข็ง การตัดช่องปุ่ม รูต่างๆ ยังคงเว้นระยะสวยงามตามมาตรฐาน

ลองใช้งานจริงมาประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว ช่วงสอง สามวันแรกรู้สึกว่ามันจับไม่ถนัด มันลื่นมือมาก เพราะลวดลายนูดด้านหลัง แล้วก็อวัสดุลายเคฟล่าที่ลื่นๆ จนตัดใจโพสขายไปทีนึง แต่ก็เอากลับมาลองใช้ใหม่ เพราะคิดว่าเคสมันสวยนะต้องให้โอกาสมันหน่อย และก็ใช้มาจนทุกวันนี้ กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเคสที่จับถนัด เต็มมือ ถือมือเดียวได้ง่ายเพราะาลายนูน และลายเคฟล่าด้านหลังนี่แหละเป็นที่ยึดอย่างดีถ้าคุ้นกับมันแล้ว

ด้านหน้าก็มีส่วนยื่นสูงขึ้นป้องกันหน้าจอเวลาคว่ำตัวเครื่อง แต่ถ้าตกก็โดนมุมของหน้าจอก็คงแตกอยู่ดี มีจุดที่สังเกตอยู่ 1 จุด คือ ด้านหลัง ไม่มียาง หรือตัวเคสที่ยกสูงทั้ง 4 มุมเหมือนรุ่น Plasma แต่วัสดุลวดลายที่มีโลโก้ UAG ตรงกลางมันออกจะนูนกว่าส่วนอื่น วางบนพื้นแล้วมันไม่เรียบ ซึ่งคิดว่าน่าจะทำให้พลาสติกเป็นรอย หรือถลอกได้ง่าย ถึงคิดว่าตัวพลาสติกจะสีดำไม่ได้ทำสีก็เถอะ นอกนั้นอย่างอื่นก็โอเคหมดแล้วละ

Perfume Blog: Christian Dior Dior Addict EDP

Dior Addict EDP เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2002 และก็ปรับสูตรมาเรื่อย จนล่าสุดปี 2014 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่นดอกไม้สดชื่น ที่นำด้วย ดอกส้ม ดอกมะลิ และวนิลา ในเว็บบรรยายไว้สั้นๆ ที่สรุปใจความประมาณว่าเป็นกลิ่นที่แสดงถึงความเป็นผู้หญิง อ่อนโยน และมีเสน่ห์อย่างน่าทึ่ง

เปิดมาหอมสดชื่นแบบกลิ่นดอกไม้สีขาวอะไรสักอย่าง แต่ที่รู้คือกลิ่นดอกมะลิชัดมาก โปร่ง ติดกลิ่นเขียว มีกลิ่นที่เหมือนใบไม้อ่อนๆ เขียวใส สบายจมูก มีกลิ่นนุ่มๆ คล้ายวนิลาจางๆ อยู่ในกลิ่นช่วงกลางกลิ่นไปแล้วทำให้กลิ่นมันดูกลมขึ้น กลิ่นไม่รุนแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นกลิ่นหอมใสๆ กลิ่นเหมาะเวลากลางคืนไปโทนเดียวกับสีของขวดน้ำหอมที่เป็นสีน้ำเงินเข้มลึกลับ เป็นกลิ่นหอมที่หอมรัญจวนอีกกลิ่นหนึงเลย

กลิ่นหอมนะ หอมดอกมะลิแบบติดเขียว หอมเย็น เป็นกลิ่นที่ออกไปทางกลิ่นดอกไม้ชัดมาก แนวกลิ่นออกไปทางผู้ใหญ่หน่อย หรูนิดนึง งานกลางคืนอะไรแบบนั้น อ่านรีวิวเมืองนอกบอกแต่ว่ามีกลิ่นเปิดเป็นซีตรัส แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงนะคิดว่าที่ว่ากลิ่นเหมือนซีตรัสน่าจะเป็นกลิ่นแอลกอฮอล์กำลังระเหยมากกว่า ลองกลิ่นแล้วรู้สึกว่ากลิ่นกระจายตัวดีแต่ก็ไม่ได้มากอะไร และก็ติดทนโอเคปกติ

เป็นกลิ่นหอมที่ออกไปทางธรรมชาติแบบไม่คิดว่า Dior จะมีกลิ่นแบบนี้ นึกว่าจะมีแต่กลิ่นที่เบลนรวมกันไปแล้วเหมือนอย่างหลายๆ กลิ่นที่เคยลองมา สงสัยจะต้องหาน้ำหอมจาก Dior กลิ่นอื่นๆ มาลองเพิ่มแล้วละ

Christian Dior Dior Addict EDP 50ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Perfume Blog: CHANEL PLATINUM ÉGOÏSTE EDT

PLATINUM ÉGOÏSTE เปิดตัวมาในปี 1993 เป็นน้ำหอมผู้ชายที่มีแรงบัลดาลใจบรรยายในเว็บไซต์ว่า “”Qui a de la platine” ความหมายในภาษาฝรั่งเศสที่ใช้บ่งบอกถึงบรุษผู้มีความหลักแหลมสุขุมและวาทศิลป์คมคาย PLATINUM ÉGOÏSTE คือความหอมแห่งบุรุษที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และไม่เขินอายต่อสื่งเร้าใด ๆ ที่จะนำพาให้เขาประสบความสำเร็จ” โดยบรรยายแนวกลิ่นไว้ว่า “ความสัมพันธ์แห่งสมดุลและอำนาจเกินต้านทาน ความหอมจากกลิ่นพันธุ์ไม้คือเบ้าหลอมแห่งความสดชื่นจาก Lavender และ Rosemary เติมเต็มด้วยสัมผัสจาก Petitgrain จากปารากวัย ความหอมที่เบ่งบานโดยกลิ่นแห่งเอกบุรุษของ Clary Sage และ Geranium นำไปสู่กลิ่นหอมบริสุทธิ์อันเป็นพื้นฐานของแอมเบอร์ ความอบอุ่นจากพันธุ์ไม้หายากที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศ” อ่านแล้วงงดีไหมละ นี่อ่านแล้วก็งงเหมือนกันมันจะเป็นกลิ่นแบบไหนละมาลองกลิ่นกันดีกว่า

กลิ่นเปิดมาแบบหอมนุ่ม เย็น กลิ่นเบาๆ ที่เป็นกลิ่นแนวดอกลาเวนเดอร์ เป็นกลิ่นโปร่งใส ให้ความรู้สึกแบบชิลๆ สะอาด ผ่อนคลาย มีความนุ่ม ทุ้มของกลิ่นกำลังดี ไม่ฉุนเกินไป เป็นกลิ่นที่เล่าบรรยายออกมาไม่ถูกเพราะเป็นกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยเท่าไหร ฉีดไปสักพักรู้สึกถึงกลิ่นเผ็ดๆ แบบเครื่องเทศ หรือดอกไม้อะไรสักอย่างซ่า คุ้นๆ รู้สึกเหมือนจะมีกลิ่นไม้หอมแนวฟุ้ง กลิ่นอวลๆ ในช่วงท้าย เป็นกลิ่นทีให้นึกถึงวันพักผ่อนสบายๆ นอนเล่นริมทะเลอะไรประมาณนั้นเลยละ

กลิ่นมีความฟุ้งกระจายกำลังดี ไม่แรงเกินไป เพราะด้วยความโปร่ง และใส ของกลิ่นทำให้มันกระจายได้โอเคเลย ติดทนค่อนข้างดีไม่ถึงกับทั้งวันแต่ก็นานหลายชั่วโมงเพียงตอนท้ายอาจจะเป็นแค่กลิ่นลอยๆ ติดผิวเราเฉยๆ เวลาลมพัดมาพอให้จับกลิ่นได้บ้าง ถ้าให้ดีพกมาฉีดเติมอีกครั้งตอนบ่ายก็โอเคแล้ว

กลิ่นนี้ถึงจะบอกว่าเป็นน้ำหอมผู้ชาย ก็คงไม่ผิดเพราะกลิ่นมันนุ่ม ทุ้ม ให้ความเป็นผู้ชายชิลๆ เสื้อเชิตหลวมๆ กางเกงขาสั้น ความไม่เป็นทางการ เวลาแห่งการพักผ่อน ที่ให้ความรู้สึกช่วงเวลาฤดูร้อน และฤดูหนาว ไปพร้อมๆ กัน เพราะกลิ่นมันให้ทั้งความนุ่มเย็นสบาย และความอบอุ่นนุ่มของกลิ่น บอกไม่ถูกต้องไปลองเอาเอง เป็นกลิ่นที่ให้อารมณ์ของความเก่าวินเทจ และความเป็นปัจจุบัน ชอบมากๆ

CHANEL PLATINUM ÉGOÏSTE EDT 50ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Perfume Blog: CHANEL GABRIELLE ESSENCE EDP

CHANEL GABRIELLE ESSENCE เปิดตัวมาเมื่อปี 2019 นี้เอง เป็นกลิ่นต่อยอดเพิ่มความเข้มข้นให้กับ GABRIELLE ดั้งเดิมที่เปิดตัวมาเปี 2017 โดยมีแนวกลิ่นที่บรรยายไว้ในเว็บว่า ” GABRIELLE CHANEL ESSENCE ผสมผสานความสดใสเข้ากับความหรูหราเย้ายวน น้ำหอมกลิ่นฟลอรัลนี้ประกอบด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้สี่ชนิด ได้แก่ กลิ่นมะลิที่มีความเอ็กซอติกและอบอวล, อีลางอีลางที่โดดเด่นและออกแนวฟรุตตี้, กลิ่นออเรนจ์ บลอสซัมแสนสดชื่นและสดใส และกลิ่นทูเบอโรสจากเมืองกราสส์ที่ทั้งเข้มข้นและเฟมินีน ทูเบอโรสจากเมืองกราสส์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่น่าหลงใหลที่สุดนั้นได้รับการชูกลิ่นและกระจายกลิ่นผ่านน้ำหอมเพื่อสร้างกลิ่นหอมที่อบอุ่นและอบอวล”

กลิ่นเปิดมาหอมหวาน ใส ฉ่ำ กลิ่นเด่นๆ เป็นกลิ่นดอกไม้ รู้สึกถึงกลิ่นประมาณกลิ่นดอกมะลิเย็นๆ กับกลิ่นอะไรสักอย่างหอมฉ่ำๆ เป็นความหอมกลมกล่อมของดอกไม้ที่ให้กลิ่นหอมหวาน อบอุ่น นุ่มนวล โดยที่กลิ่นยังคงเป็นโทนกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงแบบจริงจังเหมือนกับรุ่นปกติ และกลิ่นยังมีการกระจายตัวที่ค่อนข้างดี ฉีดแล้วฟุ้งใช้ได้เลย แถมติดทนยาวนานกว่ารุ่นปกติด้วย ความทนอาจแตกต่างกันตามจุดที่ฉีดด้วยนะอย่างลืม

จะบอกว่ายังไงดี กลิ่นมันก็เหมือนแบบรุ่นเดิม แต่มันมีกลิ่นดอกมะลิเด่นที่ให้ความหอมเย็นชัดเจนขึ้นมา กลิ่นหอมหวาานขึ้น ฉ่ำขึ้น ที่เกือบจะเรียกว่ามันเป็นกลิ่นฉุนแล้ว แต่ยังคงความหอมแบบโปร่ง ใส อยู่ ซึ่งคิดว่าโอเคแล้วกลิ่นมันก็หอมเข้มข้นมากกว่ารุ่นเดิมจนสังเกตได้

ใครจะว่ากลิ่นแบบ Essence นั้นแตกต่างกว่าแบบปกติก็ช่าง ส่วนตัวลองกลิ่นแล้วคิดว่ามันไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น มันค่อนข้างเหมือนกันเลยก็ว่าได้ ความสามารถแยกกลิ่นมีเท่านี้แหละแยกไม่ออก รู้สึกแค่ว่ากลิ่นมันแรงขึ้น ฉ่ำขึ้นก็เท่านั้น สำหรับคนที่ยังไม่เคยซื้อรุ่นปกติแต่ก็อยากจะซื้อ GABRIELLE มาใช้สักขวดแล้วลังเล แนะนำขวดรุ่น ESSENCE ได้เลย กลิ่นเหมือนกันแต่เข้มกว่าเอามาปรับใช้เอา อยากได้เข้มได้เบาก็ปรับจำนวนฉีดเอาเอง คุ้มๆ

CHANEL GABRIELLE ESSENCE EDP 50ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Perfume Blog: CHANEL CHANCE EAU FRAÎCHE EDT

CHANCE EAU FRAÎCHE เปิดตัวปี 2007 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Chypre Floral ที่เน้นให้กลิ่นให้ความสดชื่นเป็นหลัก บนเว็บบรรยายแนวกลิ่นไว้ว่า “กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ เป็นการผสานกันของความหอมสดชื่นจาก Citron, ความอ่อนโยนของ Jasmine และ ความมีชีวิตชีวาจาก Teak Wood วังวนที่มีพลังและความกระปรี้กระเปร่า” เรามาลองกลิ่นกันดีกว่า

กลิ่นเปิดมาหอมโปร่งแบบกลิ่นเลม่อน เป็นกลิ่นเลม่อนคมๆ ที่ออกไปทางกลิ่นสดชื่น รอกลิ่นแห้งสักพักจะมีความหวาน – มันๆ มาเพิ่มให้ได้กลิ่นพร้อมความหอมคมของเลม่อน เพิ่มเติมอีกนิดคือความติดเขียวของกลิ่นชัดขึ้นในช่วงท้าย แต่ก็ยังคงเป็นกลิ่นสดชื่นที่ออกไปทางหมากฝรั่งน่าเคี้ยว เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ให้ความหอมเย็น รู้สึกสดชื่นแบบอากาศดี แต่ก็เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ค่อนข้างอ่อนมากเลย

อย่างที่บอกไปมันเป็นกลิ่นหอมสดชื่น โปร่ง และกลิ่นค่อนข้างอ่อน ทำเอาผิดหวังไปนิดนึง กลิ่นมันดีนะเหมาะกับหน้าร้อนมาก แต่ดันไม่ฟุ้งกระจายเท่าไหร่ ออกไปทางกลิ่นติดผิวซะมากกว่า สังเกตว่ากลิ่นบนกระดาษจะเป็นกลิ่นเขียวแนวเปลือกมะนาว ที่สดชื่นยาวนานกว่าบนผิว บนผิวจะกลายเป็นกลิ่นหอมมันๆ ครีมมี่ปนกลิ่นเขียวมะนาวเร็วมาก ซึ่งก็หอมกันทั้งสองแบบ แต่กลิ่นอ่อนๆ แบบนี้มันก็ติดผิว ติดเสื้อผ้านานเหมือนกัน

รวมแล้ว CHANCE EAU FRAÎCH เป็นน้ำหอมกลิ่นหอมเบา ให้ความสดชื่น สดใส มีความหวานนิด หอมมันหน่อยๆ ไม่หวานมันจนเลี่ยน เหมาะกับสภาพอากาศร้อนเลยละ กลิ่นไม่แน่น และเบา สามารถฉีดได้ทั้งวันเลยละมั้ง

CHANEL CHANCE EAU FRAÎCHE EDT 50ml.

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]