วันนี้จะมาเล่าเรื่องซื้อ iPad มาใช้งาน ไม่เคยคิดที่จะซื้ออุปกรณ์แท็บเล็ตพวกนี้มาใช้เลยตั้งแต่ซื้อ Samsung TabA มาครั้งก่อน เพราะไม่ค่อยได้เอามาใช้งานจริงจังสักเท่าไหร่ แค่เอาไว้วาดรูปในจอกว้างเฉยๆ ดูหนังฟังเพลงพิมพ์งาน ก็ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหมด เล่นเน็ตอะไรง่ายๆ ทั่วไปก็เล่นผ่านมือถือปกติ เลยไม่คิดที่จะซื้อแท็บเล็ตอีกเลย
จนช่วงต้นปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ Covid19 ขึ้นและต้องทำงานที่บ้านมากขึ้นช่วงนี้แหละทำให้ความคิดที่จะซื้อแท็บเล็ตเริ่มเข้ามาในหัว และก็วนอยู่ในหัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนตัดสินใจซื้อ iPad Pro มานี่หละ ความคิดหลักๆ ที่จะเอามาใช้งานก็เพราะคิดว่าจะเอามาใช้แทนคอมพิวเตอร์ที่บ้านในการทำงานที่ไม่ยุ่งยาก พกพาไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ ได้ น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ต้องสามารถเขียนหน้าจอได้แบบจริงจังได้ด้วย
มีทางเลือกหลักๆ แค่ 2 ยี่ห้อ คือ Samsung กับ Apple แต่เรามีคำตอบในใจอยู่แล้วละว่าจะเอา iPad ของ Apple เป็นเพราะ App Procreate® ที่ใช้วาดรูป เขียนตัวหนังสือต่างๆ ที่เป็นที่นิยมกันนี่แหละ อยากลองใช้งานมากดูรีวิวการใช้งานจากหลายๆ คนแล้วน่าใช้งาน อีกอย่างก็เพราะอยากกลับไปที่ ios อยากรู้ว่าปรับปรุงไปมากแค่ไหนแล้ว เบื่อ Android หน่อยๆ ถึงฟังก์การใช้งาน ลูกเล่นเยอะ แต่อยากใช้งานอะไรที่ง่ายๆ ธรรมดา ไม่ต้องคิดเยอะบ้าง
กดสั่งซื้อไปผ่านเว็บของ Apple โดยตรงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน ได้รับเครื่องประมาณวันที่ 4 ธันวาคม แต่ได้รับจริงๆ วันที่ 3 ธันวาคม รอนานมาก สงสัยรอผลิตเครื่องอยู่ได้รับเมล์ก่อนวันที่ได้รับประมาณ 2-3 วัน จัดส่งจากสิงคโปร์มาเร็วทันใจ อุปกรณ์เสริมที่สั่งไปมาถึงก่อนกันหมดแล้ว แปลกใจที่คนส่งพัสดุในไทยมีหลายบริษัทที่มารับช่วงต่อ มีทั้งส่งมาจากสิงคโปร์ และส่งมาจากในไทยเองก็มี บริษัทที่ขนส่งมีทั้ง UPS DHL Kerry บ้านเราก็มี เรียกว่าการจัดส่งของ Apple ค่อนข้างตรงกับวันที่แจ้งตอนจัดส่งมากประทับใจจริงๆ
สั่ง iPad Pro ครั้งนี้ลองกดเพิ่มห่อของขวัญมาด้วย อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงพอพัสดุมาเปิดกล่องก็เจอการแพ็คพัสดุสไตล์ Apple พร้อมกับกล่องสีขาว ริบบิ้นยางยืดสีแดง มีการ์ดที่หน้ากล่อง การ์ดด้านในซองระบุข้อความที่เราระบุตอนสั่งซื้อ พิมพ์ออกมาทื่อๆ ตัวหนังสือเล็กจิ๋ว ไม่จัดกึ่งกลางอะไรทั้งนั้น แบบว่าเขียนการ์ดเอาเองจะดูสมราคาซะมากกว่า การห่อของขวัญก็เป็นแค่กล่องแจ็คเก็ตคลุมไว้กับยางยืดรัดมุมเฉยๆ แค่นั้นไม่ได้พิเศษอะไร โอเค! หมดความสงสัยกับบริการห่อของขวัญละ
11-inch iPad Pro (2nd generation) – Wi-Fi + Cellular – 256GB – Space Gray
เปิดกล่องที่ห่อมาก็เจอกล่อง iPad Pro สีสดใสด้านใน แกะกล่องมาด้านในก็จะมีตัวเครื่อง กล่องเอกสารคู่มือ แนะนำการใช้เบื้องต้น สติ๊กเกอร์ Apple 2 อัน สายชาร์จ USB-C to USB-C ปลั๊ก 20W ตัวที่ขายแยก อย่างละ 1 ชิ้น
ตัวเครื่องเล็กมากเมื่อเทียบกับหน้าจอที่อยู่ในขอบบางๆ ดูสวยดี เครื่องค่อนข้างบาง ด้านหลังเรียบๆ มีชุดกล้องสี่เหลี่ยม กับ โลโก้ แค่นั้น ด้วยความบางของมันลองกดด้านหลังดูก็มีความยุบตัว มีเสียงอะไรสักอย่างด้านในดีดตัวด้วย ตอนรีดฟิล์มหลังนั้นรู้สึกชัดเจนว่ามันยุบ แต่มันยังไม่งอนะโชคดีไป
ซื้อฟิล์มกันรอยมารอแล้ว 3 กล่อง หน้าจอ 2 แบบ แบบใสธรรมดา กับแบบฟิล์มกระดาษ แต่ดูรีวิวฟิล์มกระดาษแล้วน่าใช้งานมากเลยซื้อมาเตรียมรอเครื่อง แต่จุดที่หลายๆ คนไม่พูดถึงคือเรื่องความคมชัดของหน้าจอเมื่อติดฟิล์มกระดาษ เพราะคิดว่าฟิล์มกระดาษก็คือฟิล์มด้านที่เรารู้จักกันนี่แหละ ฟิล์มด้านแบบนี้เมื่อใช้งานแล้วจะเป็นอาการขุ่น เบลอ ภาพที่แสดงจะไม่ชัดเจน เกิดเม็ดสีเล็กๆ ได้ เลยหารีวิวต่างประเทศที่ลองใช้ฟิล์มแบบนี้ถึงเจอว่าเกิดปัญหานี้ขึ้นเหมือนกัน สรุปเลือกที่ไม่ติดฟิล์มกระดาษเพราะต้องการเห็นจอที่คมชัดเท่านั้น ฟิล์มกันรอยที่ใช้ตอนนี้เลยเลือกติดแบบใส่ปกติ ฟิล์มหลังแบบขุ่นที่มีขอบคลุมด้านข้างติดค่อนข้างยาก และทำให้อารมณ์เสียเวลาติดด้วย
-
-
-
ฟิล์มหลังเป็นแบบขุ่นที่ติดทิ้งไว้ฟองอากาศก็จะหายไปเอง
อุปกรณ์เสริมที่ซื้อมาให้ iPad Pro เครื่องนี้ อย่างแรกก็ Apple Pencil (2nd Generation) ราคาแพง แต่มันก็ต้องใช้ด้วยกัน เอาไว้วาดรูป จดบันทึกประชุม เขียนบล็อกประจำวันอะไรแบบนี้ กล่องเป็นกระดาษแข็งอย่างดี เปิดแบบสไลด์ ด้านในมีแค่เอกสารประกอบตัวดินสอเท่านั้น ไม่แถมหัวดินสอหมือนรุ่นแรก เลยซื้อหัวปากกาสำรองมาเก็บเตรียมไว้เผือได้ใช้ 1 กล่อง มี 4 ชิ้น ตัวดินสอเป็นพลาสติกผิวสากด้าน ไม่มันเงา จับได้ถนัดมือ น้ำหนักดีพอดีมือ หัวดินสอเป็นพลาสติกแข็ง
หัวปากกา ที่ซื้อมาเพิ่ม 1 กล่องมี 4 ชิ้น
เคส Smart Folio สำหรับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 2) เคสบางๆ ที่ตอนแรกคิดว่าอยากได้แค่นี้ อยากได้แบบบางๆ พกง่าย แต่มันดันไปเห็นแบบมีคีย์บอร์ดแล้วเกิดความคิดอยากพิมพ์งานนอกสถานที่มาซะอย่างงั้น ทำไงได้คงต้องเอามาอีกอัน เคส Smart Folio อันนี้มันบางดีมาก ไม่มีขอบเกาะตัวเครื่องใช้แม่เหล็กติดด้านหลังตัวเครื่องแทน ปรับระดับการวางได้ 2 ระดับค่อนข้างสะดวกเลยเวลาพกพา วัสดุเป็นผิวนุ่มเหมือนซิลิโคนหนืดๆ ลื่นๆ จับฝุ่น และรอยมันของนิ้วมือดีมาก
เคส Smart Keyboard Folio สำหรับ iPad Air (รุ่นที่ 4) และ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 2) เคสคีย์บอร์ดที่ทำให้ iPad Pro ของเราน่าพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ตามความคิดที่คิดตอนนั้น ราคาแพงมาก++ แต่ด้วยความอยากได้อุปกรณ์เสริมของแท้เลยต้องลงทุน จะได้ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังตอนซื้อของยี่ห้ออื่นแล้วมันไม่ดีอย่างที่คิด ตัวเคสวัสดุผิวคลายซิลิโคนหนืดๆ เหมือนกับ Smart Folio แบบปกติ ปรับระดับการวางได้ 2 ระดับเหมือนกัน
ตัวคีย์บอร์ดเป็นลักษณะเหมือนแผ่นยางยขึ้นรูปที่คลุมด้วยวัสดุแบบผ้าทำให้ตัวแป้นคีย์บอร์ดมีพื้นผิวสากๆ ทำให้ไม่ลื่นเวลาพิมพ์ตัวหนังสือ สัมผัสที่ได้จากการพิมพ์ก็ใช้ได้ ปุ่มไม่ได้เด้งแบบอิสระ หรือเสียงดังเหมือนคีย์บอร์ดปกติ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่กดปุ่มอยู่ไม่ได้แย่เลย
เวลาปิดฝาเคสแล้วความหนาของตัวเครื่องก็เพิ่มขึ้นไม่มาก น้ำหนักก็เพิ่มมานิดหน่อยแต่ก็ไม่หนักเกินไป ข้อสังเกตุอย่างนึงคือพอปิดฝาตัวคีย์บอร์ดจะปิดไปบนหน้าจอกระจกอาจจะทำให้เกิดรอยบนกระจกได้หากสัมผัสกันเป็นเวลานาน ติดฟิล์มก็ช่วยได้แต่รอยจะเป็นเกินบนฟิล์มแทน แก้ไขโดยเอากระดาษสอดคั่นไว้ตอนปิดฝาน่าจะช่วยได้