Perfume Blog: ลองกลิ่น Chloé L’eau ทั้ง 3 กลิ่น [2012, 2019, 2023]

วันนี้จะมาลองกลิ่นใหม่จาก Chloé ที่เพิ่งออกมาเมื่อปีก่อน ออกมาในตระกูล L’eau นั่นคือ chloé l’eau de parfum lumineus ได้แบบน้ำหอมก้นขวดมาลองกลิ่น จริงๆ ตั้งใจจะซื้อขวดเต็มมา แต่เห็นโน๊ตกลิ่นมี Vanilla ในโน๊ตกลิ่นด้วยเลยยั้งมือไว้ก่อน เพราะตระกูล L’eau มันน่าจะออกไปทางกลิ่นโปร่งๆ สดชื่น กลิ่นสำหรับฤดูร้อน ไม่หวานอุ่นแนว Vanilla นี่นา อย่างที่รู้กันถ้ากลิ่นไหนมี Vanilla เข้ามาแจมด้วยละก็ออกแนวหวานอบอุ่น นวลเนียน ไม่เหมาะกับอากาศร้อนๆ แน่นอน เลยเลือกที่จะเอาแบบก้นขวดมาลองกลิ่นก่อน จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปเปล่าๆ หากไม่ถูกใจ มาลองกลิ่นกันดีกว่า

Chloé L’eau de Parfum Lumineuse [2023]

L’eau de Parfum Lumineuse นี้ถูกวางไว้ให้เป็นน้ำหอมรักษ์โลก ที่ทุกอย่างผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล ตัวน้ำหอมก็ใช้สิ่งสังเคราะห์น้อยที่สุด ใช้วัสดุธรรมชาติให้มากที่สุดอะไรแบบนั้น ซึ่งก็ดูดีเข้าเทรนด์รักษ์โลกของยุคสมัยปัจจุบัน โดยคอนเซ็ปทุกอย่างดูเข้าท่าหมด มาในตระกูล L’eau อีกด้วย มันน่าสนใจและน่าลองกลิ่นเหลือเกิน จากประสบการณ์ที่เคยสัมผัส L’eau รุ่นผ่านมามันให้กลิ่นใส โปร่ง ธรรมชาติ ดูไม่สังเคราะห์ น่าจะไปด้วยกันได้ดีกับคอนเซ็ปนี้ ติดอยู่ที่ทุกรุ่นที่ผ่านมาเน้นไปทางกลิ่นที่เบาสบาย โปร่งใส แนวแสงแดด สายลม สองเราชิลๆ แต่ตัว Lumineuse กลับมีโน๊ตกลิ่นของ Vanilla ในโน๊ตกลิ่นพื้น มันจะออกมาแบบไหน Vanilla ไม่เคยหอมใสชิลๆ เลย กลัวจะออกมาแนว MY WAY แนวน้ำกลิ่น Vanilla หอมหวานที่กำลังฮิตกันช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้จังเลย

เปิดมาด้วยกลิ่นหอมแนวมะลิ ปนกุหลาบที่มีกลิ่นวนิลาหวานอุ่น เป็นกลิ่นวนิลาที่หนาและหวานเนียนแถมแรงกลบกลิ่นดอกไม้ไปหมดอีกด้วย มีความแห้งแบบแป้งนิดๆ ในพื้นพื้นหลังพอให้กลิ่นได้รู้สึกนุ่มนวล สะอาด นวลเนียน กลิ่นในช่วงกลางไปถึงช่วงหลังนั้นเลลิ่นยังคงหวานวนิลาอยู่ แต่ก็ได้กลิ่นกุหลาบแซมขึ้นมาให้รู้สึกเป็นระยะ พอสดชื่นขึ้นบ้าง แต่ตลอดช่วงกลิ่นรู้สึกถึงวนิลา-แป้งที่แรงและชัดมากไปจนจบกลิ่น

กลิ่นนี้ดูไม่เป็นแนว L’eau ที่ให้กลิ่นสดชื่น โปร่งอย่างเคย แต่ให้กลับให้กลิ่นหอมแน่น ตันๆ แบบกลิ่นหวานแป้ง-วนิลาแทน กุหลาบส่งมาแค่กลิ่นเสริมบางเบาเท่านั้น แต่ด้วยกลิ่นแบบนี่ก็ทำให้ติดทนนานกว่า L’eau ปกติแน่นอน ส่วนตัวคิดว่ากลิ่นไม่เข้ากับฤดูร้อนสักเท่าไหร่ เป็น L’eau ที่เข้ากับฤดูหนาวซะมากกว่า และถ้าได้กลิ่นผ่านๆ ก็รู้สึกว่าเป็นกลิ่นของน้ำหอมทั่วไปในช่วงนี้ แนววนิลา หวานๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ช่วงนี้ ดูน่าเบื่อหน่อยๆ เลยละ

Chloe L’eau EDT [2019]

แถมกับลองกลิ่น Chloe L’eau อีก 2 รุ่นในอดีตสักหน่อย เป็นการลองกลิ่นสั้นๆ MINI ไว้ประกอบการตัดสินใจ โดยกลิ่นนี้ Chloe L’eau EDT เป็นกลิ่นที่ชอบมากสุด ให้กลิ่นกุหลาบสด แบบน้ำกุหลาบหอม หวานสดชื่น ติดเขียวนิดๆ โปร่ง และกลิ่นติดค่อนข้างทนในสภาพอากาศร้อนๆ อีกด้วย

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นกุหลาบปนกลิ่นซีตรัสคมๆ สดใส เพราะกลิ่นซีตรัสแบบ Grapefruit  ทำให้กุหลาบดูฉ่ำน้ำแบบช้ำๆ แต่โปร่งสดชื่น มีกลิ่นลิ้นจี้บางๆ เสริมให้กลิ่นดูฉ่ำน้ำขึ้นไปอีก เป็นกลิ่นเปิดที่หอมสดชื่นอย่างกับเอาน้ำมาราดซะอย่างนั้นเลย พอกลิ่นแห้งไปสักพักกลิ่น Magnolia ที่หอมสะอาดคุ้นเคยแทรกเข้ามาคลอร่วมกับกลิ่นกุหลาบฉ่ำน้ำช่วงนี้ทำให้กลิ่นมันพร้อมสู้อากาศร้อนดีมาก กุหลาบสดแบบมีน้ำค้างบนกลีบที่หอมสะอาด สะอ้าน โปร่ง สดชื่นมาก ในช่วงหลังจะติดกลิ่นเขียวแทรกเข้ามาในพื้นหลังหน่อยๆ กับมักส์นวล ไม้หอมนิดๆ จบกลิ่นด้วยความหอมละมุน แนวสะอาดๆ มินิมอลเลย

L’eau EDT กลิ่นนี้แหละที่ให้กลิ่นกุหลาบฉ่ำน้ำ และสะอาด ไม่แก่ ไม่ทึบ ไม่สาบ หอมสะอาด โปร่งเบาแบบที่ฉีดตอนไหนในสภาพอากาศร้อนๆ ก็หอมสดชื่น ไม่อุ่น ไม่ทึบ ไม่อบอวลให้ขุ่นข้องใจเลย เป็นกลิ่นที่ตัวบล็อกแบ่งใส่ขวดสเปรย์เล็กๆ ไปฉีดตลอดวันแบบสะใจด้วย เพราะมันหอม หอมแบบไม่ทำร้ายใคร หอมแบบที่คนเข้ามาใกล้ได้สนิทใจ เพราะเราหอมในสภาพอากาศร้อนแบบนี้ไงละ แต่ได้ข่าวมาว่ามันเลิกผลิตแล้วด้วยสิ ที่มีขายอยู่คือสินค้าที่ยังมีสต๊อกอยู่เท่านั้น น่าเสียดายมาก

Chloe L’eau de Chloe [2012]

ปิดท้ายด้วย L’eau รุ่นแรกๆ ที่มากับโบว์สีเขียวเย็นตา เป็นเขียวพาสเทลที่ออกตุ่นๆ ดูดีเลย กลิ่นที่หลายๆ คนไม่ปลื้มในกลิ่นสักเท่าไหร่ ที่กลิ่นค่อนข้างเบา บาง และติดไม่ทน แต่หลังจากที่มันเลิกผลิตไป กลับเป็นกลิ่นที่ถูกถามถึงและตามหา ราคาแพงอีกด้วย อย่างที่เขาว่ากันต้องให้ตายไปก่อนคนถึงจะเห็นคุณค่าความสำคัญนั่นละ ตัวบล็อกเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มองหาโบว์เขียวนี้มาเรื่อยๆ พอเจอก็ไม่ปล่อยให้หลุดไปจับมาลองกลิ่นให้รู้เรื่องกันไปเลย

เปิดมาแบบกลิ่นกุหลาบผสมกับซีตรัสคมใส มีความหวาน เปรี้ยว เขียว แบบกลิ่นแนวดอกไม้ขาวหอมสะอาด แทรกด้วยกลิ่น Patchouli ที่มาแบบโปร่งใสคลอไปกับกลิ่นกุหลาบอมเปรี้ยวจากช่วงกลิ่นเปิดที่เปลี่ยนมาเป็นกุหลาบฉ่ำน้ำแบบ Rose Water สดชื่นสดใสไปตลอดช่วงกลางของกลิ่น ปิดท้ายเสริมด้วยกลิ่นไม้หอมบางเบาคลอไปกับมักส์ใสไปจนจบกลิ่น

หอมนะ กลิ่นน้ำเขียวนี้ เป็นกลิ่นกุหลาบ+เขียวแบบสมุนไพรด้วยกลิ่นของ Patchouli และไม้หอม ให้กลิ่นโปร่งใสสดชื่น ไม่มีความอบอุ่น หรือหวานจัดเลย ให้กลิ่นแบบดอกไม้ลอยน้ำเย็นๆ เลยละ แต่ด้วยความ Patchouli ใสแปร่งแบบนี้ละมั้ง อาจจะไม่เป็นที่นิยมสำหรับใครหลายคนทำให้มันเลิกผลิตไปนานแล้วกลิ่นนี้ ส่วนตัวชอบกลิ่นแบบนี้ กลิ่นโทนเขียว สมุนไพรคมๆ ใสๆ ปนกลิ่นดอกไม้โปร่งใส เหมาะกับอากาศร้อนดี คิดว่าเป็นกลิ่นต้นฉบับของกลิ่นโบว์เขียวที่มีในยุคปัจจุบันเลยไหมเนี่ย ยังไม่เคยลองโบว์เขียวรุ่นใหม่เลย คงจะต้องหามาลองกลิ่นแล้วละ

นี่ละกลิ่นตระกูล L’eau จาก Chloe เท่าที่หามาลองกลิ่นได้ กลิ่นออกไปทางกลิ่นหอมบางเบา ธรรมชาติ โปร่งพริ้วไหว มีรุ่นใหม่มีแหละที่แหวกออกไปทางหวานเข้มอบอุ่มอิงตามยุคสมัย ไม่อิงตระกูลเดิมอะไรแล้ว แต่ก็หอมทุกกลิ่นนะเอาไว้เป็นตัวเลือกให้ได้ใช้กัน ตอนนี้ก็คิดว่าจะหาโบว์เขียวอีก 2 รุ่นใหม่มาลองกลิ่นสักที อยากรู้ว่ากลิ่นจะหอมแค่ไหนกันไว้จะมาเล่าให้อ่านเล่นกันอีกทีครั้งต่อไป

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

ลองชิม Black Dragon Celtic Amber Beer

กระป๋องนี้เคยเห็นมานานมากแล้ว เห็นว่าเป็นเบียร์นอกราคาคงแพงเลยมองผ่านๆ ไปไม่เคยหยิบมาดู ครั้งนี้เจอในตู้แช่ที่เซเว่นเลยดูราคาเห็นว่าราคาไม่แพงเกินก็หยิบมาลองชิมดู กระป๋องแดงรูปมังกรน่าจะรสเข้มละมั้ง

ได้กลิ่นหอมแปลกบอกไม่ถูกว่ากลิ่นเหมือนอะไร สีขอบเบียร์นั้นก็เหลืองเข้มข้นสวยงาม รสชาติคำแรกนั้นให้รสหวานตั้งแต่สัมผัสลิ้น พร้อมกับกลิ่นหอม “มัน” และติดกลิ่นไหม้นิดๆ แปลกดี แต่เแปลกในทางที่อร่อยนะ รสชาติหวานบางๆ ให้ความ”มัน”ติดลิ้นกำลังดี พร้อมกับกลิ่้นหอมไหม้ที่เข้ากันดี ทำให้มันน่าดื่มต่อเข้าไปอีก

สรุปว่าเป็นอีกยี่ห้อที่อร่อย มีจุดเด่นที่สีเหลืองสวย และกลิ่นหอมไหม้บางๆ ที่บอกว่าเป็นกลิ่น Caramel Malt ก็คงจะเป็นอย่างนั้นละ ดื่มง่าย หวาน – เข้ม กำลังดี มีแอล 4% ไม่มากเท่าไหร่ตามราตราฐาน ราคา 59 บาท ก็ทำให้หยิบมาลองได้ไม่ยาก

Perfume Blog: L’Occitane jasmin immortelle neroli EDT [2015]

L’Occitane jasmin immortelle neroli เป็นกลิ่นรุ่น Limited Edition ที่ L’Occitane en Provence และ Pierre Herme หรือที่รู้จักกันในนาม “The Picasso of Pastry” เชฟชื่อดัง ในชุด Limited นี้จะมี 3 ชุดด้วยกัน โดยที่รูปร่างขวดออกแบบโดย Olivier Baussan ให้ภาพของคุกกี้นั่นเอง

โดยที่กลิ่นนี้ ชื่อกลิ่นก็บอกโน๊ตของกลิ่นหลักตรงตัวเลย นั่นก็คือ Jasmin, Immortelle, Neroli เสริมด้วยกลิ่นเปิดอย่าง Lemon, Pink Pepper ตบท้ายด้วยกลิ่น Wood, Musk

เปิดมาด้วยกลิ่นหอมเขียวสดชื่นแบบ Neloli คลอมากับ Jasmine สว่างใส มีอีกกลิ่นที่บอกไม่ถูกว่ารู้สึกถึงอะไร แต่มันให้กลิ่นหอมครีมมันปนกลิ่นดอกไม้ โดยกลิ่นปนมากับกลิ่น Lemon และซ่าๆ แบบเครื่องเทศโปร่งที่รู้สึกสดชื่น ในช่วงหลังของกลิ่นนั้นให้นึกถึงกลิ่นหอมแบบสมุนไพรสะอาดๆ สไตล์กลิ่น Hand Cream ของ L’Occitane ด้วย ให้ความคุ้นเคยอบอุ่นเป็นอย่างดี

เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกถึงของลมเย็นพัดผ่านผิวในวันชิลๆ กลางฤดูร้อนเลยจริงๆ กลิ่นที่ทำให้นึกถึงแต่สิ่งดีๆ คิดถึงความรู้สึกดีๆ หอมมากเลยกลิ่นนี้ ได้ขวดรุ่น Limited ของปี 2015 มานี่โชคดีเลยละ ขวดสวยเข้ากับอารมณ์ของกลิ่นที่สดใส แสงแดด สายลม หากไปที่เคาน์เตอร์ของ L’Occitane ตอนนี้ในไทย ไม่แน่ใจว่ามีขายไหมนะกลิ่นนี้ เพราะกลิ่นนี้กลับมาวางจำหน่ายใหม่ในกลุ่มสินค้า Classic อะไรสักอย่างที่อยู่ในขวดแบนๆ เหมือนกันไปหมด ไม่ใช่ขวดทรงกลมแบนแบบนี้แล้ว

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น CHANEL CHANCE Eau Fraiche EDP [2023]

CHANEL CHANCE Eau Fraiche รุ่น Eau de Parfum รุ่นใหม่จากตระกูล CHANCE ที่มีน้ำสีเขียว เคยลองกลิ่นรุ่น EDT อยู่ครั้งนึงก็เป็นกลิ่นสดชื่นสดใสทั่วไป ส่วนสีอื่นๆ ก็เป็นแนวกลิ่นหอมสดใส แบบเน้นสาวๆ เป็นหลัก เลยไม่ได้สนใจตระกูล CHANCE สักเท่าไหร่ ครั้งนี้ได้การ์ดน้ำหอมมาพร้อมกับตอนซื้อ CRISTALLE รุ่นขวดใหม่มา เลยเอามาลองกลิ่นดูว่ามันจะหอมไปทางไหนในรุ่นนี้ มีโน้ตกลิ่นสั้นๆ ได้แก่ Citron, Jasmine, Teak Wood, Amber

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นซีตรัสคมใส สดชื่นแซมกลิ่นอมเปรี้ยวบางๆ ให้สัมผัสของ Aldehydes ที่โปร่งโล่งซาบซ่าในพื้นหลัง เป็นกลิ่นเปิดที่สดใส สดชื่นให้อารมณ์ Cologne เย็นๆ ในวันอากาศร้อนหลังอาบน้ำ พอกลิ่นเริ่มแห้งไปสักพักกลิ่นดอกไม้ขาวเริ่มแทรกเข้ามาให้ได้กลิ่นมากขึ้น ตามโน้ตก็กลิ่น Jasmine หรือมะลิ แต่เป็นมะลิที่โปร่งใส นุ่ม ครีม หอมเย็น โดยยังไม่ทิ้งความสดชื่นใสของซีตรัสในช่วงแรก รวมกันแล้วให้กลิ่นสดชื่น กลิ่นใส นวล กลิ่นสะอาดสไตล์ Chanel ที่ไม่เหมือนใคร ในช่วงหลังจะมีไม้หอมแทรกคลอมาให้กลิ่นโปร่งนุ่มดูอบอุ่นแต่ไม่อุ่นจนเกินไป ทำให้กลิ่นโดยรวมมีมิติ และดูสะอาดขึ้นไปอีก

เป็น Eau Fraiche ที่ยังคงหอมสดชื่นแบบสะอาด สดใส มีคลาสแบบ Chanel ไม่แพ้รุ่นเดิม ได้กลิ่นแล้วนึกถึงฤดูร้อน การท่องเที่่ยว ช่วงเวลา Summer กิจกรรมกลางแจ้ง สัมผัสของสายลม แสงแดดบนผิว กลิ่นของน้ำทะเล แบบนั้นเลย คงด้วยเพราะกลิ่นพวกซีตรัสที่อยู่ยาวมาจนเกือบจบกลิ่น มันให้อารมณ์ของความโปร่งใส สดชื่นที่เข้ากับอากาศร้อนๆ ได้อย่างดีนั่นละ เลยทำให้นึกถึงช่วงเวลา Summer เป็นอย่างแรก

ส่วนตัวคิดว่ากลิ่นยังคงไม่หนีห่างจากรุ่นเดิม และกลิ่นอื่นๆ ของ Chanel สักเท่าไหร่ เลยทำให้มันดูเป็นกลิ่นที่หอม แต่ไม่ได้พิเศษอะไรในความคิดส่วนตัวของบล็อก กลิ่นคล้ายกับ Allure Homme Cologne, Allure Homme Sport ด้วย ยิ่งทำให้กลิ่นมันคุ้นชินเข้าไปใหญ่สำหรับตัวบล็อกที่ใช้กลิ่น Allure เป็นประจำอยู่แล้ว เพราะมันเป็นโทนกลิ่นที่ตะโกนยี่ห้อ Chanel ออกมาดังๆ เลยละ สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้กลิ่นพวกนี้ประจำอาจจะชอบก็ได้ กลิ่นโปร่งใส หอมสดชื่นแบบนี้ยังไงคนส่วนใหญ่ก็น่าจะชอบกันอยู่มาก เอามาลองใช้จริงหนึ่งวัน ฉีดไป 5 สเปรย์ เกือบครึ่งหลอด ให้กลิ่นหอมโปร่งฟุ้งกระจายดีใช้ได้ในช่วง 2 – 3 ชั่วโมงแรก แล้วกลิ่นเริ่มจะกลายเป็นกลิ่นใกล้ๆ ตัวยาวไป พอช่วงบ่ายๆ ก็ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว ได้กลิ่นแค่ส่วนที่ฉีดบนเสื้อผ้าบางๆ ก็ให้ประสิทธิภาพแบบมาตรฐานไสตล์น้ำหอมแนวสดชื่นแบบนี้เลย

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Dior Miss Dior Parfum [2024]

สวัสดีบล็อก! ห่างหายไปนานกับการเล่าเรื่องลองกลิ่นน้ำหอมอีกแล้ว วันนี้กลับมาพร้อมกับความตื่นเต้นที่จะได้ลองกลิ่น เพราะได้น้ำหอมกลิ่นใหม่ของ Dior ที่ยังไม่เข้าไทยมาลองกลิ่นก่อนที่จะมีโอกาสได้เจอตัวจริง กลิ่นนั้นคือ Miss Dior Parfum รุ่นใหม่ปี 2024 ที่เปิดตัววางจำหน่ายในบางประเทศมาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว ได้แบบการ์ดน้ำหอม ขนาด 1ml มา 2 ชิ้น เลยตั้งใจจะเอามาลองกลิ่นเล่าลงบล็อกแบบรวดเร็วให้สมกับการตื่นเต้น

Miss Dior Parfum วางจำหน่ายทุกช่องทางในประเทศไทยวันที่ 17 เมษายน 2567 โดยมีงานเปิดตัวที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, มีจำหน่าย 3 ขนาด ได้แก่ 80ml ราคา 8,200.-, 50ml ราคา 6,500.- และ 35ml ราคา 4,300.-

Miss Dior Parfum เป็นกลิ่นที่ Francis Kukdjan ได้มานำเสนอใหม่อีกครั้งกับคอนเซ็ปต์ความเยาว์วัย และความเป็นผู้หญิงในยุคปัจจุบัน มีโน๊ตกลิ่นของ Mandarin, Jasmine, Wild Strawberries, Peaches, Apricots, Patchouli, Alaskan Cedar, Moss

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นส้มหอมหวาน ปนกลิ่นพืช และพวกกลิ่นผลไม้ฉ่ำน้ำหวานฉ่ำ โดยที่มีกลิ่นหอมแนว Patchouli หวานคลอมากับกลิ่นสตรอเบอร์รี่ที่ไม่ใช่สตรอว์เบอร์รีสดใสอย่างที่คุ้นเคย แต่เป็นสตรอว์เบอร์รีป่าที่ให้กลิ่นหวานนุ่ม เหนอะๆ เขียวๆ ลอยๆ  ปนกลิ่นดอกไม้คละคลุ้งให้กลิ่นหอมหวานกลมเอกลักษณ์ ช่วงกลางของกลิ่นนั้นให้กลิ่นหอมนุ่มอบอุ่นแบบกลิ่น Amber และไม้หอมโปร่ง และยังคงมี Patchouli หวานๆ ที่ยังไม่หายไปไหนคลอมาตลอดเวลา ช่วงหลังของกลิ่นนั้นยังคงหวาน Patchouli ที่ออกไปทางเหนอะๆ มันๆ เหมือนกลิ่นเครื่องสำอางที่ดูสะอาดสะอ้าน อ่อนนุ่มไปจนจบกลิ่น เป็นแนวกลิ่นที่ค่อนข้างคุ้นเคยเลยกลิ่นของช่วงหลังแบบนี้

กลิ่นมันหอมดีเลยละ กลิ่นดูสดใส ดูเด็กกว่ารุ่น EDP อีก กลิ่นให้ความรู้สึกเหมือนเด็กวัยรุ่นที่มีวุฒิภาวะอะไรแบบนั้น เพราะกลิ่นมันไม่แน่น ไม่แรงเหมือนชื่อ Parfum ความเข้มข้นของกลิ่นหน่ะสิ กลิ่นมันหวานสดใส สว่างไสว ด้วยกลิ่นของส้ม สตรอว์เบอร์รี ดอกไม้อวล และ Patchouli หวานโดดเด่น ที่คล้ายกับกลิ่น Miss Dior รุ่นแรกๆ ที่เน้นกลุ่มสาวยุคใหม่มาก และให้อารมณ์ของ CoCo Mademoiselle จาก Chanel หน่อยๆ ด้วยในช่วงกลางไปถึงช่วงท้ายของกลิ่น ที่ให้กลิ่นหวานกลมเอกษณ์ของ Miss Dior แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือกลิ่นของไม้หอมโปร่งคลอในพื้นหลังที่ทำให้กลิ่นโดยรวมดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนั่นละ

สรุปจากที่ได้ลองกลิ่นคร่าวๆ นั้นก็ได้ความเห็นว่า Miss Dior Parfum นั้นก็เป็น Miss Dior ที่กลับมาเป็นสาวอีกครั้งหลังจาก โตเป็นผู้ใหญ่สุขุมนุ่มลึกในรุ่น EDP ที่ปรับสูตรล่าสุดในรอบที่ผ่านมา ทำให้ Miss Dior Parfum 2024 นี้ น่าจะเหมาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่แทบจะทุกกลุ่มเลยก็ว่าได้ กลิ่นไม่ดูเด็กเกิน ไม่ดูวัยรุ่นไป ไม่ฟรุ้งฟริ้ง ไม่หวานจนเกินไปอย่างแนวน้ำหอมจากหลายๆ ยี่ห้อในปัจจุบันอีกด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่ราคาจาก Dior ที่ปัจจุบันแพงมากๆ แพงอย่างกับน้ำหอม Niche เลย ถ้ามีโอกาสเก็บเงินทันก็จะรอเอามาเก็บสักขวดนึงด้วยละ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday