ครั้งนี้จะมาลองกลิ่นน้ำหอมใหม่ ที่ไม่เชิงจะเป็นกลิ่นใหม่ แต่เป็นกลิ่นที่หายจากเคาน์เตอร์ไปนานกลิ่นนึง นั่นคือ Eau Noire จาก Christian Dior โดยถูกนำกลับมาใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ผู้สร้างกลิ่นนี้อย่าง Francis Kurkdjian นั้นได้กลับมาเป็น Perfume Creation Director ในปลายปี 2021 ที่ผ่านมา โดยช่วงต้นปี 2022 ก็มีชุดเซ็ตกลิ่น 3 กลิ่น ที่รวม Eau Noire ออกมาเป็นรุ่น Limited จาก Francis Kurkdjian ทั้ง 3 กลิ่นเป็นชุดกลิ่นที่แสดงถึงความสง่างาม และแสดงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมในโน๊ตกลิ่น อย่างโน๊ตของ Lavender, Orange Blossom และ Iris
ชุดกลิ่น 3 กลิ่น ที่ชื่อว่า THE ORIGINAL TRILOGY – LIMITED EDITION ประกอบด้วยกลิ่น Eau Noire, Cologne Blanche และ Bois D’Argent มาในขวดขนาด 40ml ชุดนี้ในเว็บของ Dior ก็ประมาณ 11,000.- บาท เป็นราคาตอนที่วางจำหน่ายเมื่อต้นปี 2021 ตอนนี้ชุดนี้น่าจะไม่มีจำหน่ายแล้วแล้ว แต่จะมีจำหน่ายแยกเป็นกลิ่นในขนาดปกติทั้ง 3 ขนาดแทน
ทั้ง 3 กลิ่นที่บล็อกได้มาเป็นแบบขวด Miniature ขนาด 7.5ml ตามเก็บมาทีละขวดตั้งแต่ปีก่อน จนตอนนี้ครบชุดแล้วก็ได้โอกาสเอามาลองกลิ่นลงให้อ่านกัน เรามาลองกลิ่นกันดีกว่า
Christian Dior Bois D’Argent EDP
เปิดมาแบบกลิ่น Iris นวลเนียน พร้อมกลิ่นหอมบางเบาที่ให้สัมผัสของกลิ่นแบบ Musk ในพื้นหลังแบบที่กลิ่นดูชื้นฉ่ำแบบผ้ากำมะหยี่นุ่ม ตามด้วยกลิ่นหอมเครื่องเทศหอมซ่าเบาๆ เสริมให้กลิ่น Iris และ Musk ดูมีมิติไม่นุ่มจนเกินไป มันเป็นกลิ่นที่หอมเย็น หวานนวลเบา ติดเครื่องเทศจางๆ อารมณ์แบบนี้ไปจนจบกลิ่น
กลิ่นนี้ให้กลิ่นที่หอมเบา เบาและบางเฉียบที่สุดในชุดเลย เป็นกลิ่นละมุน หรูหราเหมือนกัน ได้กลิ่นแล้วนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมา บอกไม่ถูก กลิ่นมันนุ่มเบาเหมือนขนนก ปุกปุยเหมือนนุ่น สะอาดเหมือนผ้าปูที่นอนใหม่อะไรแบบนั้น จะว่าไปกลิ่นโดยรวมกันก็เหมือนกับพวกกลิ่นใบชาที่หอมเย็นติดซ่านิดๆ ในท้ายกลิ่นด้วย หอมดีจริงๆ กลิ่นนี้
เป็นอีกลิ่นที่ให้กลิ่นดี สมกับที่เลือกมาไว้ในชุดกลิ่นนี้ แต่เสียดายที่กลิ่นมันไม่ค่อยฟุ้งสักเท่าไหร่ ออกแนวกลิ่นติดตัวที่แรงหน่อย แต่ไม่แรงพอที่จะกระจายออกไปไกล ทำให้กลิ่นมันค่อนข้างจะจางหายไปเร็วตามช่วงเวลาที่ผ่านไป คิดว่าไม่สมราคาสักเท่าไหร่
สำหรับกลิ่นที่รู้สึกว่าคล้ายกับกลิ่นนี้ก็ Amber Niute จาก Dior เหมือนกัน ให้กลิ่นที่คล้ายในช่วงกลางกลิ่นไปแล้ว แถมกลิ่นแรงติดทนกว่าด้วย อีกกลิ่นที่นึกถึงก็ Diptyque Fleur de Peau ที่ให้กลิ่น Iris แนวหอมเย็นในช่วงต้นคล้ายกัน แต่ Diptyque ให้กลิ่นที่แรงกว่า หอมเย็นสะใจกว่า และติดทนกว่าอีกด้วย
Christian Dior Cologne Blanche EDP
เปิดกลิ่นมาแบบกลิ่นหอมหวานแนวส้ม กับกลิ่นเครื่องเทศเอียนๆ มาพร้อมกับความนวล ให้อารมณ์แป้งหอมเนื้อแน่นหนัก รวมกันแล้วเป็นกลิ่นที่หอมหวานเอียนแปลก มีความขมจางๆ แบบกลิ่นหวานขมนวลของ Almond ที่คุ้นเคยแทรกมาในพื้นหลัง เมื่อผ่านช่วงแรกไปสักพักให้กลิ่นที่หอมเย็น แนวแป้งหอมฟุ้งๆ หวานแห้งแบบกลิ่นวนิลาขมที่ให้ความรู้สึกสะอาด
กลิ่นสะอาดๆ หอมหรู ที่ไม่เหมือนกลิ่นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด แต่เหมือน “กลิ่นเครื่องสำอาง” มากกว่า กลิ่นหอมดีมาก หอมเย็นติดหวานที่แปลกมีเสน่ห์ คงเป็นเพราะกลิน Almond ในพื้นหลังที่ทำให้รู้สึกหนึบๆ มันๆ เหมือนกลิ่นดินปั้นอะไรสักอย่าง อาจจะดูเป็นกลิ่นแปลก กลิ่นสารเคมีถ้าไม่คุ้นกับกลิ่นแบบนี้ ส่วนตัวชอบกลิ่นหวานติดขมแบบนี้ เหมือนกลิ่นใน Hypnotic Poison ที่ตัดความหวานเลี่ยนออกไป ลงตัวดี
โดยรวมให้กลิ่นหอมแนวแป้ง หอมเย็น กลิ่นสะอาด มีกลิ่นส้มแซมบางๆ พอสดชื่นไม่แป้งเกินไป ตบท้ายด้วยกลิ่น Almond โดดออกมาพาให้ดูเป็นคนสำอางค์ ให้กลิ่นแบนนี้ไปจนจบกลิ่น แต่ไม่รู้สึกถึง Vanilla สักเท่าไหร่คงรวมๆ อยู่ในกลิ่นนั่นละ กลิ่นนี้เหมาะกับใช้เป็นกลิ่นติดตัวสุดกลิ่นดูสะอาดตลอดเวลา และเหมาะกับอากาศร้อนด้วยไม่ฉุน
Christian Dior Eau Noire EDP
กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นสมุนไพร กลิ่นรากไม้แห้งๆ ขม หวาน เค็มๆ มีกลิ่นไหม้แบบกลิ่นกาแฟ ผสมปนเป แบบน่าสับสนในกลิ่นเปิด ทิ้งให้กลิ่นแห้งไปสักพักกลิ่นเปิดแรงๆ เริ่มจางลงแต่ยังคงไว้ในกลิ่นสมุนไพรขม ติดกลิ่นกองไฟไหม้ๆ คล้ายกลิ่นไม้ติดไฟหอมคมๆ ของกลิ่นไม้ช่วงไฟใกล้จะมอด ผ่านไปช่วงกลางของกลิ่นนั้นกลิ่นจะเริ่มนุ่มขึ้น และแทรกด้วยกลิ่นแนวดอกไม้ขรึม กับกลิ่นแผ่นหนังหน่อยๆ จะว่าหอมก็หอมนั่นแหละ หอมแบบมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
กลิ่นแปลกดี ให้ความสับสนในกลิ่นว่ามันจะหอม หรือจะไม่หอมดี ให้กลิ่นหอมแนวสมุนไพร เครื่องเทศแห้ง ติดเขียว มีความขม-หวานแปลกแบบน่าสนใจ แต่ไม่ฉุนกลับรู้สึกโล่งด้วยกลิ่นคมๆ ขมๆ แบบกลินเมล็ดกาแฟไหม้ และกลิ่นเครื่องแกงกะหรี่บางๆ หอมชัดเจนในช่วงหลังของกลิ่น
ถึงอย่างนั้นกลิ่นก็ไม่เหมือนไปกินแกงกะหรี่มาแบบ Eau Noire น้ำเขียว ปี 2004 กลิ่นรุ่นใหม่นี้ให้ความสดชื่นแบบแยกออกว่าเป็นกลิ่นน้ำหอม ให้กลิ่นแนวน้ำหอม Woody ชัดขึ้นดูขรึมขึ้น เท่ห์ขึ้นเยอะ
ในกลิ่นเก่านั้น เปิดมาหอมแนวสมุนไพรอมเปรี้ยว ติดเขียวสดชื่นโดดเด่น อย่างกับเด็ดกิ่งสมุนไพรมาดมอย่างนั้น กลิ่นหอมเข้มติดขมในพื้นหลัง ปล่อยให้กลิ่นแห้งผ่านไปสักพักจะรู้สึกถึงความเป็นกลิ่นเครื่องเทศแกงกะหรี่ เค็ม หวาน แต่หอมเย็นของ Lavender แซมกลิ่นไม้แห้ง กับกลิ่นหนังแข็งๆ อย่างกับกลิ่นตู้เก็บเครื่องปรุงในห้องครัวอย่างนั้นละ ช่วงหลังของกลิ่นที่ให้กลิ่นสมุนไพร-เครื่องเทศอ่อนนุ่ม โปร่งใส แต่ก็ยังคงให้อารมณ์กลิ่นแกงกะหรี่อยู่
ส่วนตัวพอเอาทั้ง 2 รุ่นมาลองกลิ่นพร้อมกันแล้วชอบกลิ่นของรุ่นเก่ามากกว่า ให้กลิ่นที่เบา นุ่มนวล โปร่งใส และน่ากินกว่า แต่กลิ่นไม่เบาอย่างที่คิด ยังคงเป็นน้ำหอมกลิ่นแรงเหมือนกันอยู่ แค่ไม่โฉ่งฉ่างกระแทกจมูกแบบในรุ่นใหม่ก็เท่านั้นเอง แถมกลิ่นช่วงท้ายในุร่นเก่านั้นยังคงโปร่งใส สว่าง นุ่มกว่าด้วย
แอบแถมลองกลิ่น Eau Noire รุ่นเก่าให้ไปด้วยอีกนิด เป็นรุ่นที่น้ำสีเขียวสวยมาก รุ่นนี้ได้แบบแบ่งขายมาหลายปีแล้ว จำได้ว่าลองกลิ่นสเปรย์แรกนั้นให้อารมณ์กลิ่นเครื่องแกงกะหรี่วิ๊งๆ ไปตลอดวัน จะหอมก็หอม จะฉุนก็ฉุน ให้กลิ่นน่ากินมาก ครั้งนี้เอามาลองใหม่กระตุ้นความจำ แต่อยากบอกว่าพอได้ลองกลิ่นรุ่นเก่าอีกครั้งกลับรู้สึกว่ามันหอมแรงแต่นุ่มลึกขึ้นมาก คงเป็นเพราะประสบการณ์ลองกลิ่นมั่วๆ ที่ผ่านมาด้วยละมั้งเลยทำให้ชอบกลิ่นรุ่นเก่ามากขึ้นไปอีก
[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]
#VintageMonday #PerfumeFriday