Perfume Blog: แกะกล่อง Raphael Réplique ขวดยักษ์

สวัสดีบล็อก! ไม่เจอกันนานอีกแล้วกับการเล่าเรื่องน้ำหอมเก่าของบล็อก จริงๆ ก็มันก็ไม่มีอะไรใหม่มาให้เขียนเล่าสักเท่าไหร่ ช่วงนี้ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หาน้ำหอมแล้วขายมากกว่า กำลังสนุกกับการขายของ เพราะไม่รู้ว่าจะขายได้อีกนาน หรือขายเป็นงานเสริมจริงๆ ได้ไหมก็เลยขายให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ ดั้งนั้นน้ำหอมเก่าขวดใหม่ๆ ที่ได้มาก็จะส่งต่อลงขายเลย ไม่ได้เอามาลองกลิ่นอะไร แต่บางขวดเก่าหายาก ขวดสวยก็จะถ่ายรูปสวยๆ ลง IG เป็นที่ระลึก สามารถไปติดตามชมในนั้นได้อยู่นะ

สำหรับวันนี้จะเอาน้ำหอมหายากมาให้ชมกัน เพราะขวดนี้ได้มาแบบลุ้นๆว่าจะมาถึงในสภาพไหน จะแตกระหว่างทางหรือไม่ เริ่มเรื่องคือเจอประกาศขายน้ำหอมขวดรูปร่างเก่า Vintage มากในเว็บมือสอง จากภาพเตะตาตรงจุก Stopper ของขวดที่เป็นแบบ 3 แฉกคุ้นตา เหมือนเคยเห็นมาก่อน กดเข้าไปดูก็ตื่นเต้นเลย เพราะมันคือ Réplique น้ำหอมเก่าแก่ที่ไม่เคยเห็นขวดขนาดจริงทั่วไปสักครั้ง ที่ผ่านมาเคยเห็นแค่ขวดจิ๋ว Mini เท่านั้นเอง แค่เห็นรูปก็กดถามข้อมูลคนขายทันที แต่คนขายก็ไม่ตอบกลับ มองดูนาฬิกาก็อ๋อ… มันกำลังจะตี 1 ของวันใหม่คงไม่มีใครมาตอบคำถามอะไรตอนนี้หรอก เลยทิ้งข้อความขอซื้อไว้ค่อยคุยต่อตอนเช้า สรุปคนขายตอบกลับมาตอนตี 5 ก็คุยขอรูปเพิ่มเติม ตกลงซื้อขายกันตอนตี 5 เลยนี่แหละ นึกแล้วก็ขำ

จากรูปที่ได้รับมาให้ถ่ายเทียบขนาดกับสิ่งของก็ดีใจกว่าเดิม เพราะขวดมันใหญ่มาก ใหญ่จนเกินขวดน้ำหอมปกติ และคิดว่ามันน้่าจะเป็นขวด Factice หรือขวด Dummy สำหรับตั้งโชว์ตามเคาน์เตอร์น้ำหอมในสมัยก่อนซะมากกว่า ยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิมไปอีกเพราะคิดไว้ว่าอยากจะได้ขวด Factice ใหญ่ๆ สวยๆ สักขวดเอาไว้ถ่ายรูปประกอบฉาก และเป็นขวดของ Réplique ด้วยแล้วยิ่งถูกใจเลย สวย Vintage มาก

ข้อมูลคร่าวๆ ของ Réplique ตามเว็บน้ำหอมบอกว่าออกมาในปี 1944 เป็นน้ำหอมแนว Woody สำหรับผู้หญิง บางที่ก็ว่าแนว Floral Chypre ที่โดดเด่นด้วยกลิ่น Aldehydic Note สำหรับ Réplique นั้นมีขวดบรรจุที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยจุกแก้วหรือ Stopper ที่มี 3 แฉกในแรกเริ่ม ที่ให้รูปร่างของดอกทิวลิป และได้เปลี่ยนเป็น 2 แฉกในช่วงหลังในปี 1965 เป็นข้อมูลที่น่าสนใจทีเดียว

จากข้อมูลที่อ่านก็พอจะระบุช่วงอายุของขวดที่กำลังเดินทางมาถึงว่าอยู่ในช่วงปี 1944 – 1965 ก่อนที่จะเปลี่ยนจุก Stopper ใหม่นั่นเอง เพราะช่วงปีใหม่ๆของ Réplique นั้นมีการเปลี่ยนมือ เปลี่ยนเจ้าของก็มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ไปหลายแบบเลยตัดช่วงเวลาปีใหม่ๆ ออกไปได้

รายละเอียดของน้ำหอมอ้างอิงจาก / อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Link ด้านล่าง

ขวด Réplique ที่บล็อกมีอยู่ก็เป็นขวดสเปรย์แบบ Atomizer ก็ไม่รู้ว่าอยู่ในยุคไหน แล้วกลิ่นใช้สูตรดั้งเดิมรึเปล่าเลยไม่ได้เอามาลองกลิ่น ตอนนี้ลงไว้ที่หน้าร้านแวะเยี่ยมชมได้

วันถัดมาพัสดุก็ส่งมาถึง กล่องพัสดุหนักมาก แกะออกมาก็โล่งอก เพราะไม่มีอะไรเสียหาย ขวดอยู่ในสภาพเดิมไม่แตกหัก โชคดีไป สังเกตรอบขวดไม่มีระบุข้อความอะไร มีแค่ใต้ขวดที่ระบุ Made in France เท่านั้น สภาพขวดโดยรวมยังคงสมบูรณ์ ที่เห็นชัดๆ ก็ป้ายชื่อกลิ่นที่ขาดหลุดไปเยอะแล้ว นอกนั้นก็ยังโอเคสวย

แว๊กซ์ซีลประทับตัวอักษร R ก็ยังคงรูปดี ไม่แน่ใจว่าใช่แว๊กซ์จริงไหม มีรอยแตกของพื้นผิวดูเหมือนจริงก็คงใช่แว๊กซ์จริงๆ แหละ ยังดีที่ไม่แตกไปก่อนอยู่ได้จนถึงตอนนี้ทนทานมาก

เชือกที่คอขวดยังคงผูกแน่น แต่สังเกตุตัว Skin หรือเยื้อกระดาษบางๆ ที่คลุมคอขวดไม่อยู่แล้วเหลือแต่เศษเล็กๆ ข้างหลังเชือก คอขวดแก้วมีอาการร้าวนิดหน่อยแต่ไม่มีอะไรรั่ว

น่าเสียดายก็ตรงที่ป้ายชื่อเป็นกระดาษ แล้วก็ขาดเสื่อมไปตามกาลเวลา แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะทำป้ายใหม่มาติดทับ เพื่อทำให้ขวดดูสมบูรณ์ขึ้น เวลาถ่ายรูปจะได้กลมกลืนกว่านี้หน่อยนึง

พอติดป้ายใหม่ทับไปแล้วดูสมบูรณ์ขึ้นทันที ถึงบางจุดจะดูเก่าตามกาลเวลา แต่ดูภาพรวมแล้วสวยมากเลยละ

ขนาดขวดเทียบกับกระป๋องเครื่องดื่มปกติ ก็เรียกว่าใหญ่เกินขวดน้ำหอมที่ใช้จริงในยุคนั้นมาก เลยคิดว่าไม่น่าจะใช่น้ำหอมจริง แต่เป็นขวด Factice จริงๆ นั่นแหละ สมใจความอยากได้ขวดน้ำหอมที่ใช้ตั้งโชว์ตามเคาน์เตอร์สักที รวมภาพขวดมุมต่างๆ ไว้ใน Gallery ด้านล่างแล้วสำหรับผู้ที่สนใจนะครับ

Raphael Réplique [1944] Factice Perfume Bottle

Food Blog: ลองชิม เบียร์ CHEERS Selection x Yuzu House เบียร์ผลไม้กลิ่นส้มยูสุ [2023]

นานแล้วไม่ได้หาเครื่องดื่มใหม่ๆ มาลองชิม วันนี้ก็ไปที่ตู้แช่ในเซเว่นเหมือนเดิม เจอเครื่องดื่มกระป๋องเล็กๆ หน้าตาแปลกใหม่หลายรุ่น หลายยี่ห้อ ทำให้นึกย้อนกลับไปว่ามันมีพวกเครื่องดื่มใหม่มาเยอะแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่าเราไม่ได้สังเกตกันนะ เลยเลือกมา 1 กระป๋อง เลือกยี่ห้อที่คุ้นเคยมาลองก่อนเป็นอันดับแรก นั่นก็คือ บียร์ CHEERS Selection x Yuzu House เบียร์ผลไม้กลิ่นส้มยูสุ ดูกระป๋องแล้วเหมือนน้ำอัดลมผสมแอลกอฮอลล์ซะมากกว่าจะเป็นพวกเบียร์ ด้วยหน้าตากระป๋องที่เล็กจิ๋วแบบนี้ มองราคา 44 บาท แล้วเกือบวางคืนที่เดิมในตอนแรก แต่ไหนๆ ก็จะเอามาลองชิมเล่าลงบล็อกเลยต้องลงทุนกันหน่อย

เปิดกระป๋องมาได้กลิ่นหอมเปลือกส้ม มีกลิ่นเปรี้ยวแหลม ซ่า ให้อารมณ์กลิ่นเปลือกส้มเขียวหวานที่แกะเปลือกมีน้ำมันจากเปลือกพุ่งออกมา ให้กลิ่นหอมสดชื่นประมาณนั้น ส่วนรสชาติคำแรกที่รู้สึกคือ “รสเปลือกส้ม” รสชาติน้ำเจื่อนๆ ไม่เชิงจะมีรสหวานอะไร แต่ซ่าอร่อยเหมือนโซดาที่มากับกลิ่นส้ม และรสน้ำส้มจือจางพร้อมกับรสของเปลือกขมติดลิ้น ทิ้งความฝาด หวานอ่อนที่ปลายลิ้น ถ้าไม่บอกว่าเป็นเบียร์ก็คิดว่าเป็นแค่น้ำโซดานะเนี่ย

โดยรวมมันเหมือนน้ำโซดารสส้มนั่นละ แต่เป็นรสส้มที่จางมาก เน้นไปทางกลิ่นส้มมากกว่า อร่อยไหมก็เฉยๆ ไม่อร่อยขนาดแปลกใหม่ แต่ก็ไม่ได้แย่จนดื่มไม่ได้ กลางๆ มีแอล 3% ราคา 44 บาท ปริมาณ 320มล. บอกได้คำเดียวว่าวางแช่ไว้บนชั่นนั่นแหละไม่ต้องหยิบมา ไม่มีครั้งที่สองแน่นอน ราคาที่แพง รสชาติที่ไม่ได้แปลกใหม่ ปริมาณเหมือนโค้กกระป๋อง ไม่คุ้ม ถ้าอยากดื่มเบียร์ผลไม้อร่อยๆ ปริมาณกำลังดี ก็จะเพิ่มราคาไปเบียร์หมีรสชาติต่างๆ คิดว่าคุ้มกว่าให้ความกรึ่ม ได้พอดีกว่าด้วย ยุคนี้สมัยนี้จะดื่มทั้งทีต้องเอาให้คุ้มค่า และให้เมาได้ในระดับนึงถึงจะพอใจละ

Daily Blog: สติ๊กเกอร์ชุดแรกของ MSFS Shop ได้ออกมาแล้ว – MSFS Halloween 2023 Sticker Pack

สวัสดีบล็อก! วันนี้เอาฤกษ์ดีวันที่ 9 เดือน 9 ปล่อยสติ๊กเกอร์ชุดแรกลงหน้าร้านทั้งใน Lnwshop.com และ Shopee.co.th แล้ว สติ๊กเกอร์ชุดแรกนี้กะทำออกมารับกับเทศกาล Halloween ที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ไม่ได้อยู่ดีๆ เอามาขายวันนี้อย่างเดียวเลยหรอกนะ ลูกค้าของร้านที่กดสั่งซื้อของในทุกช่องทางเข้ามา ก็จะมีสุ่มได้สติ๊กเกอร์ชุดนี้กันไปบ้างแล้วด้วย วันนี้กะเอาแบบจัดชุด 5 แบบ มาลงหน้าร้านสำหรับคนที่สนใจ และต้องการสนับสนุนบล็อกเพิ่มเติมเท่านั้นเอง

ก่อนอื่นมาเล่าถึงเรื่องคิดจะทำสติ๊กเกอร์กันก่อนนิดนึงละกัน ส่วนตัวบล็อกมีความฝันเล็กๆ ว่าอยากจะวาดรูป แล้วเอามาทำผลงานขายกะเอาเป็นอาชีพเสริมมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จสักทีเพราะคิดมากไปหน่อย ช่วงหลังมานี้กลับมาฝึกวาดรูปในช่วงเวลาว่างบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฝึกประจำอยู่ดี ถึงอย่างนั้นก็วาดรูปได้โอเคเป็นที่น่าพอใจอยู่หลายรูป

ไอเดียทำสติ๊กเกอร์ก็กลับมาในหัวอีกครั้งในช่วงที่เอาร้านใน Lnwshop กลับมาอีกครั้ง ว่าถ้ามีสติ๊กเกอร์ของร้านแจกตามออเดอร์ที่สั่งเข้ามาก็น่าจะดี เผื่อลูกค้าเอาไปติดตามทางเท้า ตามข้างถังขยะ ก็ถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์เล็กๆ ก็ดีไม่น้อย เลยกลับมาตั้งใจวาดรูปให้มากขึ้น เก็บรูปเหมาะๆ เอามาไว้ทำสติ๊กเกอร์แจกนี่ละ

สติ๊กเกอร์แบบแรกที่ทำออกมาแล้วแจกไปกับออเดอร์สั่งซื้อของในร้านเริ่มเมื่อช่วงเดือนก่อนนี้ก็เป็นสติ๊กเกอร์หลักของร้าน ที่เพิ่งจะหาร้านพิมพ์สติ๊กเกอร์คุณภาพดีกว่าร้านอิงค์เจ็ททั่วไปหน่อย แล้วก็ราคาไม่สูงมากได้และลองสั่งทำไป 1 งาน ผลงานส่งกลับมาก็โอเคน่าพอใจสำหรับครั้งแรก แต่ร้านนี้ไม่มีการตัดสติ๊กเกอร์ตามรูปร่างของภาพ [Dei-Cut Sticker] มีแต่รูปร่างมาตรฐานทั่วไปน่าเสียดาย แต่ออกมาก็ไม่ขี้เหร่เลย

ครั้งต่อมาเลยเลือกภาพที่วาดไว้สำหรับโปรเจคนี้มา 6 รูป ที่คิดว่าเหมาะกับเอามาทำสติ๊กเกอร์สำหรับ Halloween นี้ แต่สรุปก็เหลือแค่ 5 รูป ที่ได้ไปต่อเพราะงบประมาณไม่พอที่จะทำรูปที่ 6 นั่นเอง ก็เอาที่ไหวก่อนละกัน รูป 5 รูปที่เลือกมาก็เป็นรูปที่วาดออกมาแล้วชอบเป็นพิเศษ

เล่าถึงรูปคร่าวๆ รูปแรกจากด้านซ้ายไปขวา เป็นรูปแรกที่หัดวาดหัวกะโหลก วาดไปวาดมาได้มาเป็นหัวกะโหลกอ้วนยิ้มกริ่มใส่ตัวอักษร IYKYK คำที่เขาว่า If You Know You Know! เข้าไปเข้ากันกับการยิ้มแบบนี้ดี เข้ากับสินค้าที่ขายในร้านด้วยแบบไม่ต้องอธิบายอะไรมากแค่ If You Know You Know! แบบมองตาก็เข้าใจนั่นละ

รูปที่สอง วาดจากแบบแท่งคริสตัล หิน Quatz Crystal ที่ได้มาจากโกดังญี่ปุ่น ที่ใช้แทนลูกแก้วทำนายดวงบนเบาะผ้านุ่มๆ ดูพิศวงดี

รูปที่สาม หัดวาดหัวกะโหลกในมุมมองอื่น จากรูปก็เห็นว่ารูปไม่ละเอียด ไม่สมส่วนเท่าไหร่แต่ก็ดูมีเอกลักษณ์ดี วาดแก้วเบียร์ใส่เข้าไปเพราะตอนวาดกำลังดื่มอยู่ พร้อมกับคำที่ลอยเข้ามาในหัว Live Fast Die Young. คำติดหูที่จำมาจาก Music Video ของ Lana Del Ray จนมาเป็นประโยคที่ได้เข้ากับธีมเป็น Drink Fast, Die Young. นั่นละ

รูปที่สี่ จะเป็นธีม Halloween ไม่ได้ถ้าไม่มีรูปฟักทอง Halloween เลยวาดฟักทองที่สมองไส้ในระเบิดออกมาจากฝาเป็นเมล็ดฟักทองกระจายไปทั่ว

รูปที่ห้า แมวดำพระจันเสี้ยวที่ขู่คำราม วาดยากเหมือนกันเพราะไม่เคยวาดรูปสัตว์เหมือนจริงแบบนี้มาก่อน วาดแล้วก็ต้องมานึกว่าจะลงสีดำแบบไหนดีอีก รูปนี้คิดนาน ลบแล้ววาดใหม่หลายรอบมากแต่ออกมาแล้วก็น่าพอใจอยู่นะ

ส่วนรูปที่หก ที่ถูกขัดตกรอบไปเพราะงบประมาณจำกัดนั้น รูปนั้นก็คือรูปแม่มดในนิยายเด็ก แม่มดแก่ จมูกโต ฟันแหลม ผมฟู ใส่หมวกสูง นั่นเอง รูปนี้วาดล่าสุดไม่อยากเอาออกแต่ก็ต้องเลือกเอาออกอยู่ดี เอารูปมาให้ชมด้านล่างนี้แล้ว

พูดถึงว่าบล็อกวาดรูปทำสติ๊กเกอร์เอง แต่ลายเซ็นตัวยอกในของทุกรูปกลับไม่ใช่ชื่อบล็อกนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจไป ตัวย่อ SDB เป็นชื่อย่อของอีกบล็อกนึงที่เอาไว้ทำผลงานเกี่ยวกับการวาดรูปของตัวบล็อกเอง ชื่อว่า Same Day Blog เพราะสมัยที่เริ่มหัดวาดรูปเมื่อหลายปีก่อนคิดว่าจะต้องมีชื่อในวงการกับเขาบ้างเผื่อผลงานเป็นที่รู้จัก คิดชื่อหลายชื่อแต่ก็เลือก Same Day Blog ด้วยสโลแกน “ทุกๆ วันก็เหมือนวันเดียวกัน” คือทุกวันก็เหมือนกับวันนี้แหละแค่มีเรื่องให้เจอใหม่ๆ ทุกวัน พอหมดวันก็กลับมาจุดเดิมเหมือนกันทุกวัน ประมาณนี้ อ่านแล้วพอเข้าใจกันไหมแต่ก็ชอบชื่อนี้ไปแล้วและก็ใช้มานานแล้วด้วย สามารถติดตามผลงานได้ตามที่อยู่ด้านล่างเผื่อสนใจนะครับ

Instagram: Samedayblog

Twitter/X : BlogSameDay

Tumblr: samedayblog.tumblr.com ใน Tumblr นี้จะมีงานเก่าๆ ที่เคยวาดไว้สมัย FacebookPage ด้วย

WordPress: samedayblog.wordpress.com/

อนาคตก็คงจะหาร้านที่ทำสติ๊กเกอร์แบบ Die-Cut ได้ แล้วก็จะทำให้หลากหลายขึ้น และเป้าหมายสำคัญที่จะเก็บเงินซื้อเครื่องพิมพ์ กับเครื่องตัดสติ๊กเกอร์ เอามาทำเองให้ได้ด้วย แต่ก่อนถึงตอนนั้น ขอตอนนี้ยังไม่มีคนเห็นผลงานแล้วซื้อสติ๊กเกอร์ก่อนสักชุดเถอะ แล้วแค่อยคิดถึงตอนหาอุปกรณ์มาผลิตเอง 555 วันนี้ก็มาเล่าถึงเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นเท่านี้ก่อน โอกาสต่อไปจะเข้ามาเล่าเรื่องอะไรไว้ติดตามอ่านกันนะครับ

Perfume Blog: Vintage Perfume Haul [2023 – Part 1][Christian Dior + CHANEL][Diorissimo, Miss Dior, Poison, Tendre Poison, Jules, Miss Dior Cherie, Allure, No19, Cristalle, Pour Monsieur]

สวัสดีบล็อก! ห่างหายไปนานกับบล็อกน้ำหอมเก่าที่ได้มาเก็บสะสม วันนี้ได้โอกาสรวบยอดน้ำหอมเก่าสวยๆ ในช่วงรอบปีที่ผ่านมาว่าได้กลิ่นไหนมาบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่กับ 2 แบรนด์หลักที่ชอบนั่นก็คือ Christian Dior และ CHANEL ละ

เริ่มต้นด้วย Christian Dior แบรนด์รักของบล็อก ช่วงที่ผ่านมาคอยตามเก็บ Poison ที่ผ่านเข้ามาอยู่ตลอดๆ เน้นตัว Tendre Poison เป็นหลัก ไม่รู้ทำไมว่าตัวบล็อกเองจะหมกมุ่นกับ Tendre Poison มากนัก คงเพราะเป็น Poison ที่เลิกผลิตไป และยังคงหามาเก็บได้ละมั้ง ส่วน Midnight Poison นั้น ก็หาแต่ไม่หวังมากเท่าไหร่ ด้วยความหายาก และราคาสูง เล่ามาซะยาวมาดูขวดที่ได้มากันดีกว่า

ขวดแรกเป็น Poison แบบ Cologne แบบขวดแก้วขนาด 50ml ขวดนี้ได้มาแบบขวดเปล่าจากร้านมือสอง หายากแต่ก็โชคดีที่ไปเจอ ต่อมาเป็น Poison 50ml ขวดสเปรย์ที่เหลือเกือบครึ่งขวด ได้จากในกลุ่ม Facebook เห็นราคาไม่แพงก็ไม่เสียหายที่จะเอามาเก็บไว้ ต่อมา Tendre Poison 30ml ขวดเล็กน้ำหอมเกือบครึ่งขวด ได้มากจากโกดังญี่ปุ่น ตอนไปเจอวางโดดเดียวอยู่ขวดเดียวสภาพฝุ่นเขรอะถึงว่าไม่มีใครอยากได้ แต่เราสามารถทำให้มันดูใหม่เองได้ง่ายๆ แถมราคาไม่แพงด้วย ขวดต่อไป Tendre Poison ขวดจุกแก้วแบบแต้ม ขนาด 100ml ไซส์นี้หายากมาก ได้มาราคาก็แพงอยู่สภาพพอใช้ มีรอยขูดขีดบนขวดเยอะหน่อย แต่เอาไว้ก่อนกันเหนียว ต่อมาเป็น Miss Dior ขวดแต้มฝาเกลียวรุ่นเก่ามาก ไซส์ 57ml จากโกดังญี่ปุ่น ราคาค่อนข้างแพงแต่ดูจากสภาพ และปริมาณน้ำหอมแล้วก็ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ ได้มาเก็บ 1 ขวด ต่อมาเป็น Miss Dior ไซส์ 7.5ml แบบ Parfum 2 ขวด แต่เป็นขวดรูปร่างเสาโรมัน ที่เป็นรุ่นเก่า หน้าตารุ่นก่อนหน้าที่เคยเห็นขวด 7.5ml ทั่วไป ต่อมาเป็น Miss Dior Cherie 50ml ขวดเปล่า จริงๆ ได้มาเป็นน้ำหอมก้นขวดจากในกลุ่ม เอามาเก็บให้ครบๆ รุ่น ขวดสุดท้าย Jules EDT 7ml กลิ่นที่ไม่เคยลองมาก่อน ได้เห็นตัวจริงครั้งแรกถึงจะเป็นแค่ขวดจิ๋วก็เถอะ

Christian Dior Poison Eau de Cologne 50ml

Christian Dior Poison EDT 50ml

Christian Dior Tendre Poison EDT 30ml

Christian Dior Tendre Poison EDT 100ml Splash

Christian Dior Miss Dior EDT 57ml Splash

Christian Dior Miss Dior Parfum 7.5ml

Christian Dior Miss Dior Parfum 7.5ml

Christian Dior Miss Dior Cherie 50ml

Christian Dior Jules Edt 7ml

ชุดต่อไปเป็นกลิ่น Diorissimo จาก Christian Dior กลิ่นยอดฮิต กลิ่นยอดนิยมจากโกดังญี่ปุ่น กลิ่นนี้เจอบ่อยมากๆ ตามร้านมือสอง ขวดมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายขนาดมาก ที่ญี่ปุ่นในยุคนั้นคงจะชอบกันมากจริงๆ

หลายขวดของ Diorissimo ที่เลือกมาเก็บครั้งนี้จะเป็นขวดที่ไม่ค่อยเจอ ขนาดที่แปลกหน่อย ขวดแรกเป็นขวดสเปรย์ EDT เป็นรุ่นที่มีแค่ตัวหนังสือสีขาวสกรีนบนขวด ในขนาด 100ml ที่ไม่เจอบ่อย ได้จากโกดังญี่ปุ่นในราคาที่ยังไงก็ต้องหยิบไว้ก่อน ขวดต่อมาเป็นความเข้มข้นแบบ Parfum ขนาด 15ml ในขวดจุกแก้วแบบแต้มรูปร่างดั้งเดิมคลาสสิค ได้มาพร้อมกล่องสภาพดีมากๆ อีกด้วย ขวดนี้แย่งซื้อมาในเพจน้ำหอมเพจนึงสนุกดี ต่อมาเป็นขวดเล็กรูปร่างคุ้นเคย ความเข้มข้น Parfum แต่มาในขนาด 3.5ml ขวดสั้นกว่าแบบขวด 7.5ml ที่คุ้นตา ได้มาพร้อมกล่องสมบูรณ์มาก ขวดสุดท้ายเป็นแบบปลอกน้ำหอมโลหะแบบพกพา รูปร่างแปลกพิลึก ไม่สวยเท่าไหร่ดูเชยๆ ด้วย ขนาด 10ml แต่ที่สำคัญเป็นความเข้มข้นแบบ Esprit De Parfum ที่ไม่ค่อยเจอ ขวดนี้หาวิธีแกะดูปริมาณน้ำหอมด้านในไม่ได้ แต่ก็มาพร้อมกล่องเนียนๆ เลย

Christian Dior Diorissimo EDT 100ml

Christian Dior Diorissimo Parfum 15ml

Christian Dior Diorissimo Parfum 3.5ml

Christian Dior Diorissimo Esprit De Parfum 10ml

ต่อไปเป็นน้ำหอมจาก CHANEL ได้มานิดหน่อย เพราะไม่ค่อยชอบรูปร่างขวดของค่ายนี้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นขวดทรงกระบอก ตรงๆ ทือๆ สไตล์โมเดิร์นตามยุคสมัย เลือกมาเฉพาะกลิ่น และรุ่นที่ชอบจริงๆ เอามาเก็บสำหรับค่ายนี้

ขวดแรกนั้นคือ Cristalle EDT ไซส์แปลก 60ml เป็นอีกกลิ่นที่กำลังจะ Discontinued ในเร็วๆ นี้ ได้รุ่นเก่ามาเก็บ 1 ขวด ต่อมา Pour Monsieur EDT Concentree ขวด 30ml ไซส์เล็กน่ารักดี ต่อไปเป็นน้ำหอมแบบ Purse Spray หรือแบบพกพาจาก CHANEL ในหน้าตาเก่าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Twist and Spray ที่มีในปัจจุบัน ได้กลิ่น Allure กับ N°19 แบบขวด Tester ขนาด 15ml มาอย่างละขวด ส่วนขวดสุดท้ายเป็น Allure Parfum 7.5ml ในขวดโลหะพกพา เป็นหน้าตาขวดพกพาที่สวย และหรูสุดจาก CHANEL ในครั้งนี้

CHANEL Cristalle EDT 60ml

CHANEL Pour Monsieur EDT Concentree 30ml

CHANEL Allure EDT, N°19 EDT 15ml Purse Spray

CHANEL Allure Parfum 7.5ml Purse Spray

Travel Blog: ทริปเกาะช้าง จังหวัดตราด ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

สวัสดีบล็อก! ไม่ได้มาอัพเดทบล็อกนานมาก มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ ช่วงที่ผ่านมา หลายๆ คนอาจจะเห็นใน IG แล้วว่า ปลายเดือนมีนาคม ได้ไปเที่ยวเกาะช้างมา ใช่แล้วนั่นแหละช่วงเวลาพักผ่อนที่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดประจำปีช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี ปีนี้ได้ไปเที่ยวชมที่เกาะช้าง เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเลยนะ

รูปภาพบรรยากาศวิวบนเกาะช้างที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมสามารถแวะเช้าไปชมได้ที่ IG ลงภาพไว้ในอัลบั้มไว้หลายโพสเลย ฝากเข้าไปกด Like แวะเข้าไปชมภาพบรรยากาศได้ที่ IG ด้านล่างได้เลยนะ

ทริปเกาะช้างครั้งนี้ไปกับที่ออฟฟิต ก็จะได้ภาพวิวมาเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่เอาภาพถ่ายคนอื่นมาลงร่วมด้วยเพื่อความเป็นสวนตัว เริ่มต้นออกเดินทางจากโคราชตอนตี 3 ไปถึงท่าเรือเฟอร์รี่ตอนช่วง 10-11.00 น. ก็ถือว่าโอเค ตอนขึ้นเรือเฟอร์รี่นั้นสนุกมาก เพราะเป็นการขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเป็นครั้งแรก เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหมไม่เคยเจอ พอเรือเทียบท่าเกาะช้างแล้วเดินทางต่อด้วยรถตู้ของรีสอร์ทที่พัก มาจอดรอรับที่ท่าเรืออยู่แล้ว

เดินทางผ่านตัวเมืองของเกาะช้าง ผ่านโรงแรม รีสอร์ท ร้านค้ามากมาย เส้นทางคดเคี้ยวอยูในรถตู้ก็เหวี่ยงดี ให้อารมณ์เหมือนไปเที่ยวเกาะเสม็ด แต่รีสอร์ที่พักที่จองไว้จะอยู่ไกลออกไปจากจุดท่องเที่ยงหลักหน่อย ที่พักในครั้งนี้คือ ไชยเชษฐ์รีสอร์ท อย่ในส่วนแหลมไชยเชษ์จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน โชนรีสอร์ดนั้นดีมาก เงียบสงบ มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อหน้าทางเช้าครบครัน เสียอย่างเดียวคือชายหาด ชายหาดที่นี่เป็นโขดหิน ทำให้ไม่น่าลงน้ำเล่นสักเท่าไหร่

ช่วงบ่ายในวันแรกที่ไปถึงรีสอร์ทนั้นก็พักผ่อน กับตอนเย็นไปดูวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แหลม ไชยเชษฐ์ เป็นจุดชมวิวที่ต้องปีนโขดหินขึ้นไปสูงมากเพื่อวิวสวยๆ จากภาพใน IG นั่นละ แต่ก็คุ้มเสี่ยงนะ วิว 360 องศา มันสวยจริงๆ

ทริปนี้ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน วันแรกไปถึงก็พักผ่อน วันที่ 2 มีทริปดำน้ำชมเกาะ 3 เกาะ สนุกดีใช้ได้ ดูรูปประกอบจาก IG ด้านบนได้เลยนะ เกาะส่วนใหญ่ไม่มีหาดทรายละเอียด เป็นหาดทราบหินสั้นๆ ที่สามารถดำน้ำตื้นดูปลาได้ มีดำน้ำลึกอยู่ระหว่างเกาะที่ไปชม แต่ส่วนตัวไม่ได้ลงไปดำน้ำกับเขา เพราะกลัวลอยน้ำไปไกล จากประสบการณ์ที่เคยไปทริปดำน้ำกระบี่ครั้งก่อน เลยไม่ได้ลงไปดูปลาเหมือนกับคนอื่น แต่แค่ดูวิวจุดต่างๆ ก็คุ้มแล้วละ ทริบดำน้ำใช้เวลาประมาณแค่ครึ่งวัน

123

ช่วงบ่ายมีเวลาได้ไปเดินหาของกิน แวะร้านอาหารท้องถิ่นชิมด้วย และก็ไม่ผิดหวัง อาหารอร่อย ราคาถูกคุ้มสุดๆ

ตอนช่วงเย็นก็ได้เดินชมอาทิตย์ตกก่อนทานอาหารค่ำอีกครั้ง เพิ่งเคยเห็นว่าอาทิตย์ดวงสีแดงเลื่อนลงสุดขอบฟ้าแบบรวดเร็วมากจนน่าตกใจ เป็นอาทิตย์ตกที่น่าทึ่งมากๆ ไม่คิดว่าจะพระอาทิตย์จะเลื่อนลงตกขอบฟ้าไปเร็วขนาดนี้ แต่ก็ได้ภาพวิวในรีสอร์ทดมาเก็บไว้ดูทีหลังได้อยู่

เช้าวันสุดท้ายบนเกาะช้าง ตื่นมาสายกว่าทุกวันหน่อย แต่ก็มีเวลามากพอที่จะไปทานอาหารเช้ากับเดินเก็บแปลือกหอยตามชายหาดยามเช้า วิวยังคงสวยเหมือนเดิม แตกต่างตรงที่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นแล้วนี่สิ พยายามเใช้เวลาให้คุ้ม ซึมซับบรรยากาศที่หาได้ยากแบบนี้ให้มากที่สุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพวิวนั้นกลับมาด้วย

พอถึงเวลากลับรถตู้ก็มารอที่หน้ารีสอร์ท พาเดินทางผ่านเกาะช้างไปที่ท่าเรือเฟอร์รี่กลับแผ่นดินใหญ่ ขากลับนี้รู้สึกเศร้าหน่อยๆ เพราะยังอยากอยู่บนเกาะต่อ อยากไปที่เที่ยวอื่นๆ อีก แต่ถึงเวลาก็ต้องกลับนั่นละ ทำใจ

ทั้งภาพ ทั้งคลิปขากลับที่ถ่ายมานั้นมันให้อารมณ์เศร้า ปนเหงาหน่อยๆ ทุกภาพเลย คงเป็นเพราะคนถ่ายมันรู้สึกแบบนั้นนั่นละ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ไปเกาะช้างครั้งแรก ขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากครั้งแรก ใช้เวลาบนเกาะถึง 3 วัน นานสุดครั้งแรก ชอบมากประทับใจ แอบคิดว่าถ้ามีโอกาส มีเงินก็จะหาเวลาไปเที่ยวเองคนเดียวเงียบๆ นานๆ บนเกาะก็คงจะมีความสุขดีไม่น้อย

จบแล้วกับทริปเที่ยวพักผ่อนต้นปีของปี 2566 นี้ ปลายปีไม่รู้จะได้มีโอกาสไปเที่ยวอีกไหม ไว้จะเอามาเล่า กับเอารูปมาฝากให้ชมและอ่านกันนะครับ

Daily Blog: ร้านใน LNWShop.com กลับมาเปิดใหม่อีกครั้งแล้วนะ

สวัสดีบล็อก! วันนี้ก็ยังคงเป็นความพยายามเปิดร้านค้า Online ใหม่อีกครั้ง รอบนี้กลับไปที่ LNWShop.com เว็บไซต์ร้านค้าดั้งเดิมที่เป็นต้นกำเนิดบล็อกนี้นั่งเอง

นึกไปนึกมาจะสร้างร้านของตัวเองยังไงให้คุ้มค่าที่สุด ไม่โดนหักค่าบริการมากมายอย่างใน Shopee หรือ เสียค่าลงประกาศขายสินค้าแบบใน Kaidee ก็นึกถึงอดีตอย่างร้านค้าใน LNWShop.com ที่เคยสร้างไว้ห้าปีก่อนนั่นไงละ เลยกลับไปดูที่บัญชีเก่า ดีใจมากที่ยังสมารถใช้งานได้ โดยระบบร้านค้านปัจจุบันได้มีการปรับปรุงระบบให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นมาก แต่ก็ต้องซื้อแพ็คเกจบริการเพิ่มเติม ก็ยังโอเคละ ใช้ระบบร้านค้าแบบธรรมดายังคงได้อยู่ ไว้มีรายได้มากขึ้นค่อยซื้อ Domain ร้านค้าของตัวเอง กับซื้อบริการจ่ายเงินผ่านช่องทางบัตรเครดิตทีหลัง ตอนนี้เลยทำการลงทะเบียรร้านค้า กับบันทึกข้อมูลสินค้าเข้าร้านไว้รอ

โดยร้านใน LNWShop.com นั้นสามารถตั้งราคาสินค้าได้ถูกลงกว่าใน Shopee เพราะไม่ต้องมีเสียค่าธรรมเนียมลงขายสินค้า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่ตัดสินใจกลับมาทำร้านบน LNW นี้

ก็เลยอยากเชิญชวนลูกค้าในอนาคตที่อยากจะซื้อสินค้าของบล็อก แต่รู้สึกว่าราคาแพงไปก็สามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ในร้านค้าใหม่ที่ http://www.msfsshop.lnwshop.com ด้วยนะ เป็นโอกาสอันดีแล้วคราวนี้

  • 2023, March 31

Daily Blog: ถึงเวลาเปิด Facebook Page ร้านค้าแล้ว

บล็อกวันนี้ก็ตามหัวข้อเลย วันนี้ได้ทำการสร้าง Facebook Page ร้านของบล็อกแล้ว หลังจากคิดมาสักพักเพราะไม่อยากไปทำอะไรวุ่นวายใน Facebook สักเท่าไร่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ายังไงคนก็เข้าถึง Facebook เป็นหลักอยู่ดี ตัวบล็อกเองก็ยังไปตามหาน้ำหอมเก่าตาม Page ตามกลุ่มใน Facebook แล้วทำไมไม่เปิด Page ร้านของตัวเองบ้างละ ก็เลยเป็นเหตุให้มาแจ้งข่าวในบล็อกวันนี้ ว่าได้เปิด Page Facebook แล้วนะแวะไปเยี่ยมได้

แต่เหตุผลจริงๆ ก็เป็นเรื่องขายของนี่แหละ ลงขายใน Kaidee.com ก็ไม่ Work ต้องคอยจ่ายเงินลงประกาศแบบไม่เห็นจุดหมาย ส่วนลงขายใน Shopee ขายได้ง่ายขึ้น ลงประกาศได้ไม่จำกัด แต่ค่าบริการขายแต่ละครั้งนั้นแพงใช้ได้ และระบบคัดกรองสินค้าที่เน่าๆ ชอบให้สินค้าเราเป็นบุรี่ เป็นของต้องห้ามอยู่นั่นแหละน่าเบื่อ ถึงอย่างนั้นก็ชอบขายทาง Shopee อยู่เพราะขายง่าย ผู้ซื้อไม่ถามเยอะ จ่ายเงินง่ายหลายช่องทาง ยังคงลงขายใน Shopee เป็นช่องทางหลัก ส่วน Facebook Page นั้นเอาไว้เสริมเผืออนาคตมีคนรู้จักร้านมากขึ้น ขายผ่านทาง Inbox กับผู้ซื้อโดยตรงแบบ F ของตาม Page อื่นๆ จะได้ไม่ต้องเสียค่าบริการ และจะได้ตั้งราคาให้ถูกลงได้มากขึ้นอีกไม่ต้องตั้งราคาเผื่อค่าบริการขายอีกด้วย

บ่นมายาวมาดูร้านกันดีกว่า ใช้ชื่อร้านว่า MSFS Second-Hand & Vintage Shop รวมๆ ก็ยังเป็น MSFS Shop อยู่ คำว่า MSFS หลายคนอาจจะสงสัยมานาน มันมาจากคำว่า “My Stuff For Sale!” เป็นประโยคที่คิดไว้ตั้งแต่เริ่มตั้งร้านใน Lnwshop.com สมัยก่อน แล้วก็ใช้มาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงชื่อบล็อกนี้ด้วย ส่วน Facebook Page ใช้ MSFS Shop ไม่ได้ เลยใช้เป็น Facebook.com/MSFSVintage แทนก็พอได้อยู่ละน่า ของที่จะลงขายก็จะเป็นของมือสอง ของเก่า ที่จะเน้นลง “น้ำหอม” เป็นหลักตามความชอบนั่นละ

จบแค่นี้ มาแจ้งข่าวอย่าลืมไปเยี่ยมชม ไปช่วยอุดหนุนร้านเล็กๆ ด้วยนะครับ (ลืมบอก ต่อราคาได้อยู่นะ บางชิ้นราคาแพงผิดปกติ ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะยังทำใจขายไม่ได้ ยังเสียดายอยู่ แต่ก็อยากลงขาย เป็นความคิดสับสนของตัวบล็อกเอง 555)

  • March 12, 2023

Daily Blog: ฤดูร้อนเดินทางมาถึงซะแล้ว

นี่แค่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ คลื่นความร้อนอบอ้าวก็แผ่มาให้รู้สึกได้อย่างเต็มที่ เป็นสัญญาณของฤดูร้อนอันน่ากลัวได้วนกลับมาอีกครั้ง หลังจากได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นมาอย่างยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ

อย่างที่เคยบ่นลง Twitter ไปบ้างแล้วเรื่องหน้าที่การงาน งานยังคงมีมากองรออย่างที่ไม่ต้องการให้พักอย่างเคย มาเร็วเหมือนช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านปีใหม่ แต่ไม่เคยคิดจะจากไปให้เร็วบ้างเลย แต่ก็เป็นงานบ่นบ้าง พอให้มีแรงกระตุ้นทำงานต่อไป

ถึงเวลาที่จะเล่าเรื่องรางวัลชิงโชคจากปีก่อนแล้ว ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ได้รับรางวัลเรียบร้อย เป็นโชคดีที่มาแบบบังเอิญไม่คาดคิด

เป็นรางวัลทองคำ 1 สลึง ที่ได้จากการส่งรหัสจากห่อกระดาษ idea ไปชิงโชค ซึ่งปกติก็ส่งรหัสไปลุ้นอยู่ตลอดอยู่แล้ว ส่งไปลุ้นอยู่ 3 ปีกว่าๆ เลยละ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ถูกสุ่มรหัสได้รับรางวัล

รับรางวัลก็ไม่ยุ่งยากไม่ต้องเดินทางไปรับเอง มีเจ้าหน้าที่นำมาส่งให้ถึงที่ทำงาน เซ็นเอกสารรับรางวัล โอนชำระภาษี แป๊บเดียวเสร็จสะดวกดีมากๆ

และแน่นอนรางวัลในครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนสถานะไปเรียบร้อยแล้ว เป็นไก่ KFC บ้าง เป็นของเล่นบ้าง เป็นทุนขายของบ้าง และเก็บเอาไว้บ้าง

นี่ละรางวัลที่ได้มาครั้งนี้ หวังว่าครั้งต่อไปจะมีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกบ้างนะ!

  • February 11, 2023

Daily Blog: ผ่านปีใหม่มาเกือบครบหนึ่งเดือนแล้ว!

สวัสดีบล็อก! ปีใหม่นี้ก็ผ่านมาสามอาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วเหมือนทุกครั้ง หรืออาจจะเร็วกว่าทุกครั้งก็ได้ คงเพราะปีนี้มีอะไรต้องทำเยอะจนไม่ได้คิดถึงเรื่องเวลาในแต่ละวันที่หมดไปอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับงานที่ยังคงมีรออยู่เสมอๆ ไม่รู้จักเสร็จสิ้น

วันที่ 13 ที่ผ่านมาเป็นวันที่มีหมอกลงหนาในช่วงเช้าเป็นครั้งแรกของปี ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่ไม่มีโอกาสได้เจอบ่อยๆ น่าตื่นเต้นที่มองไม่เห็นถนนข้างหน้าเราแปลกดี

วันนี้หยุดอยู่บ้านไม่มีอะไรต้องทำมากนักเพราะเกิดปัญหาน้ำประปาไม่ไหล ไม่ไหลมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 แล้วละ คิดว่าคงหยุดไหลไม่นาน แต่ก็หยุดเอามาจนถึงวันนี้ เลยไม่ต้องซักผ้า ไม่ต้องล้างจาน และไม่ได้อาบน้ำมาวันนึงแล้ว ยังดีที่เมื่อวานอากาศเย็นไม่แย่เท่าไหร่ ปัญหาของน้ำไม่ไหลก็คือท่อน้ำหลักของเขตที่อยู่แตก จากการก่อสร้างท่อระบายน้ำ ปัญหาเดิมตลอด! ไม่รู้ทำไมเวลาจะปรับปรุงอะไรที่ต้องขุดดิน ไม่ประสานกับหน่วยงานเพื่อเลี่ยงท่อน้ำก็ไม่รู้ สุดท้ายก็เกิดปัญหา มีรถส่งน้ำช่วยเหลืออยู่นะแต่ไม่เคยได้รับ เห็นแค่ขับผ่านไปมาไม่มาแจกน้ำตรงบ้านเราบ้างไม่รู้

แต่วันนี้ก็ได้อาบน้ำแล้วเพราะเอาน้ำที่สำรองไว้อย่างน้อยนิดก็เพื่อจุดประสงค์นี้ พรุ่งนี้จะได้มีน้ำใช้ก่อนไปทำงาน 😑

ถึงอย่างนั้นสองสามวันนี้ก็ได้คำสั่งซื้อผ่านร้านใน Shopee อย่างงงๆ มาหลายคำสั่งซื้อ หลังจากเงียบไม่มีคำสั่งซื้อมาตั้งแต่ต้นเดือน ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นมาแบบไม่ได้คิดไว้

พูดถึงร้านค้าของบล็อก คิดว่าจะพักร้านใน Kaidee ไว้สักพัก เพราะลงประกาศขายแต่ละครั้งต้องเสียเงิน 10 บาท แต่ก็ไม่ได้คำสั่งซื้อเท่าไหร่ แล้วประกาศที่ลงก็หมดอายุทุก 30 วันด้วย ถ้าจะต้องจ่ายแต่ละประกาศ ประกาศละ 10 บาท เพื่อต่อเวลาประกาศไปเรื่อยๆ แล้วคงคิดว่าน่าจะเสียเปล่า เน้นไปที่ Shopee เป็นหลักก่อนช่วงนี้ ถึงจะโดนหักค่าบริการคำสั่งซื้อละเกือบ 13% แล้วก็ตาม แต่ก็ได้ยอดขายไม่เสียเงินเปล่าละ

และต้องไม่ลืมเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่โชคดีอีกอย่างของช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา คือ ได้รางวัลจากการส่งชิงโชคเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นรางวัลที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เลยก็ว่าได้ เพราะส่งมาตลอดหลายปีไม่เคยได้รางวัลอะไรกลับมาเลย โชคดีรับปีใหม่เป็นครั้งแรกเลยนะ ✨ส่วนรางวัลจะเป็นอะไรนั้นไว้จะมาเล่าให้อ่านกันอีกที ขอเก็บไว้ก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ได้รับ ต้นทางแจ้งจะส่งมอบช่วงสิ้นเดือนนี้แล้ว 🥰

ช่วงนี้ก็ไม่ได้มีอะไรลงบล็อกใหม่สักเท่าไหร่อย่าเพิ่งเบื่อไปก่อนนะครับ ติดตาม Twitter ไว้ดูรูปของกินไปพลางๆ ก่อนได้ช่วงนี้นึกคึกลงรูปบ่อยๆ 🍺

  • 2023 Jan 22

Daily Blog: วันแรกของการทำงานในปีใหม่ 2566

สวัสดีปีใหม่!

เช้าวันที่ 3 ของปีใหม่นี้มีเมฆครึ้มอึมครึมเหมือนฝนจะตก แต่ก็เย็นไม่ร้อนอะไร น่าแปลกที่ไม่มีแสงแดดแม้จะสายแล้วก็ตาม อากาศแบบแหละที่อยากให้มีทุกๆ วัน

วันที่ 3 ของปีใหม่ ก็เป็นวันเปิดทำงานวันแรกหลังจากหยุดยาวช่วงวันขึ้นปีไหม่เหมือนกัน ซึ่งก็ดำเนินไปอย่างปกติไม่มีอะไรแปลกไปกว่าปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด ก็จะมีเพียงแค่เสียงกล่าวสวัสดีปีใหม่ กันตอนเช้าระหว่างเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ทำให้ความรู้สึกของเทศกาลยังไม่ทันจางหายไปดี ยิ่งทำให้รู้สึกเหงา รู้สึกเสียดายเวลาดีๆ ช่วงเทศกาลที่กำลังจะหายไปเลยดีเดียว

งานของวันแรกที่ผ่านเข้ามาก็ถือเป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่ งานหลักของแต่ละปี ที่คิดว่าสามารถค่อยๆ คลี่คลายให้เสร็จได้อย่างช้าๆ และคิดว่าจะทำสำเร็จอย่างทุกปีที่ผ่านมา

อาหารการกินก็ต้องคิดก่อนที่จะเลือกทานอย่างมีสติตั้งแต่ต้นปี ลำบากหน่อยแต่คิดว่าคงทำต่อไปได้ละ

การงานวันนี้ก็ผ่านไปได้อย่างที่คิดไว้ ตกเย็นเลิกงานขอดื่มสักนิดพอผ่อนคลาย และคิดไว้ว่าหลังจากปีใหม่นี้จะเว้นระยะห่างการดื่มหนักให้มากขึ้น เว้นแต่จำเป็นจริงๆ สักที เป็นอย่างหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้อีกครั้งในปีนี้

ปีใหม่นี้ก็ขอให้ตั้งใจทำงานให้มากขึ้น แก้ปัญหาที่ผ่านมาให้ได้มากที่สุด ปลายปีจะได้มีความสุขมากขึ้น.

  • 2023, Jan 03

แนวทางแก้ปัญหาการแจ้งเตือนใน Android ไม่เป็นปัจจุบัน – แจ้งเตือนช้า

หลายคนที่ใช้ Android คงจะเจอปัญหาการแจ้งเตือนต่างๆ ที่มีการแจ้งเตือนช้า หรือ Delay ไปหลายสิบนาที หรือบางครั้งอาจจะเป็นชั่วโมง ที่ทำให้การตอบกลับต่างๆ ช้าจนทำให้เสียโอกาสไปได้ ยิ่งถ้าหลายคนทำการขายของ Online ก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสการขายสินค้าได้

ปัญหาการแจ้งเตือน Delay นี้ส่วนตัวบล็อกเจอตอนเปลี่ยนโทรศัพท์จาก Samsung Galaxy Note9 มาเป็น Samsung Galaxy Note10 ที่เจอปัญหานี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอปัญหาแจ้งเตือน Delay เลยสักครั้ง และปัญหาก็เป็นต่อเนื่องมาจนถึง Androids รุ่นปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ซึ่งปัจจุบันบล็อกใช้ Samsung Galaxy S22 Ultra ก็ยังคงเจอปัญหานี้อยู่

ได้ลองแก้ปัญหาทุกวิธีที่สามารถทำได้โดยไม่ Root เครื่องแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหา App ไม่แจ้งเตือนเป็นปัจจุบันได้สักทีจนทำใจยอมรับสภาพไปแล้ว

ปัญหาการแจ้งเตือนนี้วิเคราะห์ดูแล้วคิดว่าเป็นที่โครงสร้างของระบบ Android เองแน่นอนไม่ได้เป็นที่การปรับแต่งจาก Samsung แต่อย่างใด เหตุผลก็เพราะเหมือนจะเคยอ่านบทความของระบบ Android ที่ปรับปรุงในแต่ละ Version ที่พยายามจะทำการปรับปรุงระบบให้มีความประหยัดพลังงานที่ทำการ Stanby โปรแกรมต่างๆ เมื่อไม่มีการใช้งานเครื่องโทรศัพท์ จนกว่าช่วงเวลาหนึ่ง หรือเมื่อมีการใช้งานโทรศัทพ์ระบบจะทำการโหลดข้อมูลของโปรแกรมต่างๆ ในคราวเดียวกัน อะไรประมาณนั้น เพื่อเป็นการยืนยันข้อมูลพยายามหาบทความนั้นมาอ่านใหม่ก็ดันหาไม่เจอซะนี่

จนมาเมื่ออาทิตย์ก่อนเจอปัญหา App แจ้งเตือนล่าช้าทำให้พลาดโอกาสการขายสินค้าที่ลงประกาศไว้ไปแบบน่าเสียดาย ทำให้ต้องกลับมาคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้อีกครั้ง และก็ได้มาเจอกระทู้ของผู้ใช้งานอื่นๆ ที่เจอปัญหาเดียวกัน ที่พยามแก้ปัญหานี้เหมือนกัน และได้เจอโพสที่ไขปัญหาที่สงสัยได้กระจ่างเลยทีเดียว สามารถอ่านโพสนั้นได้ที่นี่ “Android 11 – Notifications are delayed when screen is off

โดยในโพสได้มีผู้ใช้งานได้มาแสดงความคิดเห็นและได้ให้ข้อมูลรายละเอียดที่แสดงถึงต้นตอของปัญหาซึ่งก็คือชุดคำสั่งหนึ่งของระบบ Andriod ที่เริ่มมีใน Version ที่ 6 นี่เอง ชุดคำสั่งนี้ทำงานอย่างที่ตัวบล็อกได้เคยอ่านบทความไว้ไม่ผิด และผู้ใช้รายนี้ได้บอกวิธีแก้ปัญหานี้ให้ไว้อีกด้วย ซึ่งตัวบล็อกได้ลองทำตามแล้วก็สามารถแก้ปัญหาการแจ้งเตือนให้เป็นปัจจุบันได้อย่างที่ต้องการอีกด้วยเลยอยากกจะมาแชร์วิธีแก้ปัญหาที่เจอมา ให้คนที่เจอปัญหาเดียวกันได้ใช้เป็นแนวทางต่อไป

คิดว่าปัญหาชุดคำสั่งนี้น่าจะยังคงอยู่ไปอีกนานเพราะดูเหมือนว่าผู้พัฒนาของ Google ตั้งใจจะทำไว้ให้เป็นระบบพื้นฐานของระบบ Andrioids ด้านการประหยัดพลังงานเพื่อให้สู้ระบบปฏิบัติการอื่นได้นี่ละ

ต้นตอของปัญหานี้ก็คือชุดคำสั่งที่ชื่อว่า “DOZE” อยู่ในแกนของระบบ Android 6 เป็นต้นไป หลักๆ ก็คือมันเป็นชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ประหยัดพลังงานในเบื้องหลัง ที่จะจัดการ App ต่างๆ เมื่อหน้าจอดับไป โดยจะทำการอัพเดทข้อมูลเป็นช่วงเวลาที่กำหนดไว้ รายละเอียดเกี่ยวกับชุดคำสั่งนี้สามารถอ่านได้ที่นี่ https://developer.android.com/training/monitoring-device-state/doze-standby โดยมันเป็นตัวการที่ทำให้การแจ้งเตือนล่าช้าได้ตั้งแต่ 10 นาที ไปจนถึงหลายชั่วโมงก็ว่าได้ขึ้นอยู่กับการใช้งานโทรศัพท์ของผู้ใช้เอง

อ่านดูแล้วดูเป็นชุดคำสั่งที่ไม่น่าจะทำออกมาเลยด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ชุดคำสั่งนี้ยังคงอยู่มาจนถึง Android 13 Version ปัจจุบันทั้งที่ผู้ใช้งาน Andriod ทั่วโลกมีการแจ้งปัญหานี้ให้ Google มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่แก้ปัญหานี้สักที

มีวิธีแก้ปัญหาที่ได้จากกระทู้นี้คือการใช้คำสั่งไปหยุดการทำงานของชุดคำสั่ง DOZE นี้ ผ่านระบบ ADB (Android Debug Bridge) ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากในอดีต ที่ต้องทำการ Root เครื่องเพื่อดำเนินการใช้คำสั่งพวกนี้ ปัญหาที่ตามมาก็คือจะทำให้หมดประกันในโทรศัพท์บางยี่ห้อ และอาจจะทำให้ไม่สามารถ Update Android ต่อเลยก็ได้

แต่ปัจจุบันได้มีผู้พัฒนาได้หาวิธีการใช้คำสั่ง ADB ในระบบ Android โดยที่ไม่ต้องเสียง Root เครื่องแล้วถือว่าเป็นเรื่องดีมากๆ สามารถใช้คำสั่ง ADB ผ่านทาง App “LADB — Local ADB Shell” เป็น App ที่ต้องซื้อในราคาประมาณ 89 บาท

วิธีการใช้งาน App LADB นั้นก็ไม่ยากแต่ก็ใช้เวลาพอสมวควรกว่าระบบจะเชื่อมต่อได้ในครั้งแรก ซึ่งวิธีใช้งานก็มีบอกให้แล้ว สามารถอ่านวิธีใช้งาน App ได้ที่นี่ https://www.xda-developers.com/debloat-your-phone-run-adb-shell-commands-no-root-no-pc/

หลังจากเชื่อมต่อระบบได้แล้วสามารถใช้คำสั่ง “dumpsys deviceidle disable” เพื่อหยุดการทำงานชุดคำสั่ง DOZE ได้ทันที โดยบล็อกใช้ลองทำตามแล้วก็พบว่าสามารถแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี การแจ้งเตือนต่างๆ ก็แจ้งเตือนทันทีเป็นปัจจุบันอย่างน่าพอใจ แต่มีข้อเสียนิดหน่อยคือ หากเครื่องมีการ Restart หรือปิดเครื่อง แล้วเปิดมาใหม่ ก็ต้องทำการใช้คำสั่งนี้เพื่อหยุดการทำงานชุดคำสั่งใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่หากจะทำให้ปัญหาการแจ้งเตือนล่าช้านี้หมดไป

ขั้นตอนคร่าวๆ จะเล่าไว้ด้านล่างนี้ (สำหรับระบบ Andriod 11+ เป็นต้นไป)
1. โหลด App LADB ใน App Store
2. เปิดระบบ Developer Options โดยไปที่ Settings > About Phone แตะที่แถบ “Build number” 7 ครั้ง ระบบ Developer Options จะเปิดให้ใช้งาน
3. ไปที่ Settings > System > Developer Options และเลือนเปิดคำสั่ง “USB debugging” และ “Wireless debugging.”
4. เปิด App LADB แล้วทำการแบ่งหน้าจอคู่กับหน้าจอของเมนู Developer Options > Wireless debugging
5. กดเมนู Pair device with pairing code จะแสดงหน้าต่าง Popup รหัสการ Pairing และ IP address & Port
6. นำรหัส Pairing 6 หลัง และ รหัส Port 6 หลังสุดท้ายไปกรอกใน App LADB
7. แล้วกด Pair ใน App จะเริ่มทำการเชื่อมต่อ ขั้นตอนนี้อาจจะต้องทำหลายครั้งหน่อยเพราะบางทีมันก็เชื่อมต่อไม่ได้ แก้โดยปิดโปรแกรมทั้งหมดแล้วเข้าใหม่ดำเนินการเหมือนเดิมอีกครั้งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ (จริงๆ ระบบจะให้ทำการเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน WIFI ไว้เพื่อดำเนินการเชื่อมต่อ หากใครเชื่อมต่อระบบไม่ได้ให้ลองต่อ WIFI ทิ้งไว้ตลอดเวลาที่ดำเนินการก็น่าจะเชื่อมต่อระบบได้) หากเชื่อมต่อได้แล้วจะมีช่อง Comand ให้คีย์คำสั่งด้านล่าง
8. เมื่อเชื่อมต่อได้แล้ว ให้คีย์คำสั่ง “dumpsys deviceidle disable” จนหน้าจอขึ้นแสดงผลว่าปิดคำสั่งไปแล้ว ก็เป็นอันเรียบร้อย
9. คำสั่งจะมีผลไปจนกว่าจะปิดเครื่อง ครั้งต่อไปเมื่อเปิดเครื่องใหม่ก็ดำเนินการเหมือนเดิมอีกเพื่อหยุดการทำงานของชุดคำสั่ง DOZE แบบนี้น่าจะพอเข้าใจอยู่นะ

และนี่ก็เป็นการแก้ปัญหาการแจ้งเตือนล่าช้าใน Andriod ที่ผู้ใช้อย่างเราๆ ต้องมาแก้ไขกันเองเพื่อให้ใช้งานระบบได้อย่างที่ต้องการ เลยอยากจะเอามาลงบล็อกเก็บไว้ให้คนอื่นๆ ที่อยากแก้ปัญหานี้สามารถทำตามกัน หวังว่าทุกคนจะสามารถใช้งานโทรศัพทท์ได้อย่างที่ต้องการโดยที่ไม่ต้องย้ายระบบปฏิบัติการกันอีกต่อไปนะครับ

Perfume Blog: Dior J’adore Parfum D’eau EDP

ครั้งนี้ได้กลิ่นใหม่จาก Dior มาลองกลิ่น คือ J’adore Parfum D’eau ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง J’adore กลิ่นนี้เป็นกลิ่นสุดท้ายของ Francois Demachy ผู้ปรุงน้ำหอมหลักของ Dior ก่อนจะเกษียณตัวเองไป และเป็นกลิ่นแรกจาก Dior ที่ไม่ใช้แอลกอฮอล์ในส่วนผสมหลักมีแค่ตัวน้ำหอม กับ น้ำ เท่านั้น ทำให้ตัวน้ำหอมไม่มีกลิ่นเปิด กลิ่นกลาง กลิ่นฐาน เหมือนน้ำหอมเดิมๆ แต่ให้กลิ่นคงตัวตั้งแต่ฉีดยาวไปจนจบกลิ่นด้วย ดูน่าสนใจดีทีเดียว แนวกลิ่นยังคงแนว Floral เป็นหลัก มีโน้ตกลิ่นของ Neroli, Jasmine Sambac, Chinese Magnolia

กลิ่นเปิดมาให้กลิ่นเดอกไม้ติดเขียวสดชื่น หอมสะอาดแบบกลิ่น Magnolia แทรกด้วยกลิ่นหอมอวลติดหวานนิดๆ แบบกลิ่นของ Jasmine Sambac หรือแนวกลิ่นดอกมะลิบางๆ เป็นกลิ่นที่ยังไงมันก็คือ J’adore นั่นแหละ ให้อารมณ์ของกลิ่นรุ่น EDP ปกติเลย แค่ตัวเนื้อกลิ่นมันหอมโปร่งขึ้น กลิ่นดอกไม้เด่นขัดกว่าปกติ แต่ไม่ฉุนนะ กลิ่นดอกไม้นั้นมันบางเบา หอมหวานนวลคลอมากับกลิ่นหอมเขียวสดชื่นสไตล์ J’adore ดั้งเดิมเลย แต่รุ่นใหม่นี้กลิ่นเขียวไม่ทึบ ไม่อับชื้นเหมือนเดิมแล้ว ให้กลิ่นลงตัวมากคลอไปพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ได้อย่างลงตัวดี

ข้อสังเกต ตัวน้ำหอมเป็นสีขาวที่เนื้อค่อนข้างข้น ให้ความมันเยิ้มเป็นคราบน้ำหอมบนผิวชัดเจนจนน่าเกลียด ต้องถูไปบนผิวเหมือนโลชั่นเพื่อลบคราบน้ำมันบนผิว เรื่องความฟุ้งของกลิ่นนั้นก็ถือว่าโอเค ไม่ฟุ้งเหมือน J’adore ปกติ ในช่วงชั่วโมงแรกนั้นกลิ่นอวลชัดติดตัวดี หลังจากนั้นกลิ่นเริ่มลดความฟุ้ง แต่ก็ไม่ได้แย่แค่ไม่ค่อยได้กลิ่นลอยมาตามลม แต่ดมตรงจุดที่ฉีดแล้วก็ได้กลิ่นแน่นชัดดี แค่ไม่ฟุ้งกระจายเท่าที่ควร ความทนของกลิ่นนั้นทำได้ดีแบบผิดคาดให้กลิ่นติดบนผิวยาวนานมาก แม้จะไม่ได้ให้กลิ่นกระจายชัดเจนตลอดอายุแต่สามารถติดบนผิว บนเนื้อผ้ามากกว่า 6-7 ชั่วโมงได้ จุดเด่นของกลิ่นนี้คือกลิ่นไม่เปลี่ยนไปตลอดช่วงอายุกลิ่นอย่างที่โฆษณาจริงๆ ให้กลิ่นตอนเริ่มฉีดแบบไหนกลิ่นก็เป็นแบบนั้นไปตลอดจนจบ

สรุปแล้วกลิ่นนี้มันก็ไม่ได้ต่างจาก J’adore EDP เลย สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ใส่ใจหรือสังเกตก็แทบจะแยกไม่ออกว่านี่คือกลิ่นใหม่ก็ว่าได้ ส่วนตัวบล็อกนั้นก็คิดว่ามันไม่ได้มีความแตกต่างของกลิ่นจากรุ่นเดิมๆ มากนัก อย่างที่เล่าไปว่าความรู้สึกแรกที่ได้กลิ่นมันก็นึกถึง J’adore ตัวเดิมทันทีเลยด้วยกลิ่นดอกไม้หอมเขียวสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์นั้น หากเริ่มใส่ใจและสังเกตกลิ่นก็จะรู้สึกถึงความบางเบา โปร่งใสของกลิ่นที่ให้ความสบายสดชื่นองกลิ่นที่มากขึ้น จนสามารถใช้ในช่วงอากาศร้อนได้ง่ายขึ้นมาก น่าประทับใจที่สามารถทำให้กลิ่นเดิมที่ดูนุ่มอบอุ่น กลายเป็นกลิ่นสดชื่นสดใส ที่ยังคงความฉ่ำเปล่งประกายของกลิ่นสไตล์ J’adore อย่างที่คุ้นเคยไว้ได้ ส่วนตัวบล็อกชอบกลิ่นใหม่นี้มากกว่าตัว EDP เดิมอีก

GALLERY: Dior J’adore Parfum D’eau

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Daily Blog: 21 กันยายน 2565 เรื่องราวติดโควิด กับแวะดูระดับน้ำลำตะคอง

ในที่สุดก็ติดโควิดจนได้! พยายามป้องกันตัวเองมานานหลายปีแต่ก็หนีไม่พ้น ติดจากที่ไหนก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะติดมาจากที่ทำงานนั่นละ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นี่ทำงานมากกว่าที่ไหนๆ อีก แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะที่ผ่านป้องกันตัวเองเต็มที่แล้ว มาเล่าอาการเริ่มต้นที่ทำให้สังเกตได้ว่าตัวเองติดโควิดดีกว่า

เริ่มจากเจ็บคอเบาๆ เหมือนเวลาสำลักน้ำลายในช่วงของเช้าวันจันทร์ วันอังคารรู้สึกเจ็บคอมากขึ้น และรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้อ่อนๆ แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษอาการเหมือนคนนอนน้อยไม่อยากไปทำงานมากกว่า ตกเย็นวันอังคารฝนตกเดินตากฝนตอนไปซุปเปอร์ฯ กลับมาบ้านรู้สึกตัวร้อนมากมีอาการหัววูบนิดหน่อย วัดไข้ได้ 38° ตื่นเช้ามาก็ตรวจ ATK ผลออกมาขึ้นขีดที่สองขึ้นชัดเจนสีเข้มมาก โทรไปลางานเรียบร้อย

สิ่งต่อไปที่คิดว่าต้องทำคือไปโรงพยาบาล ไปตรวจอีกครั้ง กับไปขอใบรับรองแพทย์เพื่อเอามาประกอบการขอลาหยุด จุดตรวจโควิด19 ของโรงพยาบาลมหาราชนั้นก็อยู่บริเวณทางเข้าโรงพยาบาล เป็นลักษณะอาคารชั่วคราวมีเต้นท์กับเก้าอี้นั่งรอคิวเรียงราย วันนี้คนน้อยไม่เหมือนช่วงต้นปีที่มีคนนั่งรอตรวจยาวเหยียด เข้าไปสอบถามแจ้งอาการ และแจ้งว่าได้ตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีดมาแล้ว เจ้าหน้าที่พยาบาลก็แจ้งว่าสามารถไปติดต่อแจ้งได้ที่รถบริการด้านหน้าเต้นท์รอคิว โดยยึดผล ATK ที่เราตรวจได้เลยไม่ต้องมาตรวจอีกครั้ง

ไปถึงรถบริการก็แจ้งข้อมูลตามที่เจ้าหน้าที่สอบถาม และแสดงผลตรวจ ATK ที่ตรวจมาแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปคู่กับบัตรประชาชนไว้เป็นหลักฐาน ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะกรอกประวัติอาการการของเราในแบบฟอร์มเก็บไว้ พร้อมกับทำใบรรับรองแพทย์ที่ระบุวันที่ตรวจ กำหนดสิ้นสุดการรักษากักตัว พร้อมกับให้ยาบรรเทาอาการเบื้องต้นมา 1 ชุด ด้านในมี ยาแก้แพ้, ยาพารา แก้ปวดลดไข้, ยาขับเสมหะ แค่นั้นเลย จบขั้นตอนไปตรวจที่โรงพยาบาลเท่านี้

ดูเหมือนว่าจะไม่มีการตรวจซ้ำกันแล้วว่าผลตรวจที่ตรวจกันเองนั้นถูกต้องไหม ให้คิดไว้ก่อนว่าติดโควิดไว้ก่อน รักษาตามอาการให้ครบกำหนดวัน แล้วตรวจ ATK อีกครั้งว่าไม่มีเชื้อแล้วก็โอเคไปทำงานต่อได้ ง่ายดี

ขากลับเดินจากจุดตรวจโควิดหน้าโรงพยาบาลไปขึ้นรถกลับ ผ่านคลองลำตะคองพอดี แวะดูระดับน้ำสักหน่อยเพราะช่วงนี้มีแจ้งเตือนน้ำท่วมในพื้นที่นอกเมืองโคราชกันแล้ว ระดับนั้นตอนนี้ยังอยู่ในระดับสีเขียวปกติ แต่มันก็เยอะกว่าปกติอยู่ดี ต้องคอยติดตามกันอีกทีว่าน้ำจากนอกเมืองจะไหลผ่านมาตอนไหน

กลับมาบ้านวันนี้รู้สึกได้ว่าอาการจะมีมากขึ้นคือ มีไข้อ่อนๆ เป็นบางเวลา ปวดเมื่อยตามจุดต่างๆ ชัดขึ้น ซึ่งปกติก็ปวดอยู่แล้ว กินอาหารไม่อร่อยเหมือนรับรสชาติได้น้อยลง ระคายคอหน่อยๆ ไม่รู้สึกอ่อนเพลียแบบอาการป่วยทั่วไป รู้สึกปกติดี จมูกยังได้กลิ่นปกติดีจากที่ยังคงได้กลิ่นน้ำหอมที่ใช้อยู่ชัดเจน งั้นระหว่างนี้ก็รักษาตัวตามอาการไปก่อนจนกว่าจะหายละกัน มีอะไรเพิ่มเติมจะมาเล่าให้อ่านกันต่อคราวหน้า

Perfume Blog: แกะกล่อง น้ำหอมสำหรับบ้าน Maison Berger Paris x Lolita Lempicka

วันนี้จะมาแกะกล่องน้ำหอมที่ใช้ในบ้านจาก Maison Berger Paris เป็นน้ำหอมแบบ ก้านกระจายความหอม และ แบบตะเกียงน้ำหอม ที่มาจาก Collection น้ำหอมของ Lolita Lempicka ดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศส ที่มีน้ำหอมในชื่อ และมีรูปร่างขวดเดียวกันนั่นเอง

เหมือนเป็นความบังเอิญที่กำลังหาข้อมูลของน้ำหอมจาก Lolita Lempicka กลิ่นที่มีชื่อเดียวกันนี้ เพราะได้น้ำหอมรุ่นเก่ามาลองกลิ่นพอดี ก็ไปเจอโฆษณาของ Maison Berger ที่มีขวดตะเกียงน้ำหอมรูปร่างเหมือนขวดน้ำหอมของ Lolita Lempicka อีกด้วย เลยเป็นที่มาของการแกะกล่องในครั้งนี้

Collection ของ Lolita Lempicka ออกมาในปี 2018 ที่ทำมาเป็นรุ่น Limited Edition ( Limited แบบที่ยังมีขายอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ) ออกมาในรูปแบบขวดแก้วรูปทรงผลแอ๊ปเปิ้ล ตามแบบฉบับขวดน้ำหอมผลแอ๊ปเปิ้ลสีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผลิตภัณฑ์จาก Maison Berger นั้นวางจำหน่ายในรูปแบบตะเกียงน้ำหอม, แบบก้านกระจายความหอม, เทียนหอม มีสีให้เลือก 2 สี คือ สีม่วงใส และ แบบไม่มีสี น้ำหอมสำหรับเติมตะเกียง และขวดแก้วกระจายความหอมนั้นก็มีกลิ่นชื่อเดียวกันคือ Lolita Lempicka มีโน้ตกลิ่น Ivy leaves, Star anise, Liquorice Flower, Violet Flower, Cherry, Orris, Tonka bean, Creamy Wood, Caramel, Cistus Labdanum

ทั้งสองชิ้นนี้ทำการสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ของ Maison Berger Paris ในไทยโดยตรง หลังจากทำการสั่งซื้อและจัดส่งมาก็ใช้เวลาเร็วปกติ ประมาณ 2-3 วัน ผ่าน J&T Express

ชิ้นแรกที่ได้มาเป็นแบบ Diffuser หรือก้านกระจายความหอม เรียกเต็มๆ ว่า Lolita Lempicka Violet Premium Scented Bouquet มาในกล่องลวดลายเถาไอวี่สีทอง พร้อมกับ Logo Lolita Lempicka และ ถุงผ้าลายดอกไม้สวยมากๆ จากเว็บไซต์ Maison Berger Paris เมื่อซื้อสินค้า 2,000.- บาทขึ้นไป

สไลด์กล่องด้านนอกออกจะเจอกล่องสีดำมาตรฐานที่เปิดมาจะเจออุปกรณ์ทั้งหมดจัดวางไว้ด้านใน ชอบตรงที่กล่องเป็นฝากล่องแบบแม่เหล็กนี่ละเอาไว้ใช้ต่อได้อีก

อุปกรณ์ที่มาในกล่องก็จะมี ตัวขวดน้ำหอมรูปแอ๊ปเปิ้ลสีม่วง ที่มีลวดลายใบไอวี่รอบขวด ขวดมาในถุงผ้าบุฟองน้ำกันกระแทก 1 ชิ้น ก้านไม้วิลโล่ว์สำหรับกระจายกลิ่น 1 กล่อง น้ำหอมสำหรับเติมขวดน้ำหอมกลิ่น Lolita Lempicka ขนาด 200ml 1 ขวด และกรวยพลาสติกสำหรับใช้เติมน้ำหอม 1 ชิ้น

การใช้งานก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่ใช้กรวยพลาสติกเติมน้ำหอมลงในขวดทั้งหมด แล้วก็ปักไม้สำหรับกระจายความหอมลงไปก็เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นตัวแท่งไม้จะซึมซับน้ำหอมขึ้นมากระจายความหมอมให้เราตามต้องการ

ระยะเวลาที่ระบุไว้ว่าสามารถกระจายกลิ่นได้ถึง 4 สัปดาห์เลย แต่คิดว่าเมื่อใช้งานจริงๆ แล้วอาจจะอยู่ได้นานสุดแค่ 1-2 สัปดาห์ ส่วนตัวบล็อกยังไม่ได้เอามาใช้งานสำหรับรุ่นก้านกระจายความหอม เพราะยังไม่มีห้องที่เหมาะสมสำหรับใช้งาน ถ้าเอามาใช้งานคงจะเสียดายด้วยความที่ห้องไม่เหมาะกับการเก็บกลิ่นหอมสักเท่าไหร่ เลยกะเอามาใช้ประกอบฉากถ่ายรูปซะมากกว่า และเป็นของสะสมด้วย

ชิ้นต่อมาเลือกเอาแบบตะเกียงน้ำหอม ชื่อในเว็บเรียกว่า Lolita Lempicka Violet Gift Set ชิ้นนี้คิดอยู่นานเกือบเดือนว่าจะเอามาดีไหม ด้วยราคาที่สูงกว่ามาก และรูปร่างก็คล้ายเดิม แต่ด้วยความที่มันเป็นตะเกียงน้ำหอมและยังไม่เคยใช้งานอะไรพวกนี้มาก่อน ก็ตัดสินใจเอามาเก็บสะสมอีกชิ้น

โดยที่รุ่นแบบตะเกียงน้ำหอมนี้ยังคงมาในแพ็คเกจเดิมทั้งหมด ทั้งกล่องสไลด์ด้านนอก และกล่องสีดำฝาแม่เหล็กด้านใน โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้งานแตกต่างกันนิดหน่อย หลักๆ ก็มี ขวดตะเกียงน้ำหอมมาในถุงผ้าสีดำ 1 ชิ้น น้ำหอมสำหรับเติมตะเกียง กลิ่น Lolita Lempicka ขนาด 250ml 1 ขวด และ กล่องอุปกรณ์ที่มี ฝาครอบโปร่งลายฉลุใบไอวีสีทอง 1 ชิ้น, ฝาครอบทึบสีทอง 1, กล่องใส้ตะเกียง 1 กล่อง, กรวยพลาสติก 1 ชิ้น, คู่มือการใช้งานตะเกียงน้ำหอม 1 ฉบับ

โดยในรอบนี้ได้แถมถุงผ้าลายใบไม้มา 1 ใบ ลายสวย รู้สึกจะมี 4 ลาย แต่ลายที่ถูกใจมีแค่ 2 ลายแล้วก็ได้ครบทั้ง 2 ลายมาพอดี กับใส่โค็ดรับน้ำหอมสำหรับเติมตะเกียงน้ำหอมขนาด 500ml ฟรีอีก 2 ขวด เมื่อมียอดซื้อสินค้า 4,000.- บาทขึ้นไปอีกด้วย

ในส่วนการใช้งานของตะเกียงน้ำหอมนั้น ขั้นแรกก็เติมน้ำหอมในตะเกียงทั้งขวดที่มาพร้อมกับชุดตะเกียงขนาด 250ml นำไส้ตะเกียงใส่ในขวดพร้อมกดให้แน่นพอประมาณ ปิดฝาครอบทึบทิ้งไว้ให้ไส้ตะเกียงซับน้ำหอมประมาณ 20 นาที จึงเปิดฝาครอบทึบ จุดไฟทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที ตอนที่ลองจุดไฟครั้งแรกไฟลุกสูงสว่างมาก จนนึกว่ามันจะไหม้ตะเกียงไปซะแล้วแต่ก็ทนต่อตามคู่มือบอกไว้ว่าไฟจะเริ่มลดระดับลงใช้เวลาประมาณ 2 นาที แล้วค่อยเป่าให้ไฟดับ หลังจากนั้นนำฝาครอบโปร่งครอบครอบไว้ให้ตะเกียงทำงานกระจายความหอมในห้องประมาณ 30 นาที หรือตามความหอมที่ต้องการ

ซึ่งวิธีทำความหอมแบบตะเกียงนั้นใช้งานได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ขนาดห้องที่ไม่ปิดทึบ หรือค่อนข้างโปร่งไม่เก็บกลิ่นสักเท่าไหร่ก็ยังได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาตามลมชัดเจนดี ถ้าใช้ในห้องปกติก็น่าจะให้กลิ่นหอมติดทนนานขึ้นแน่นอน ทดลองใช้งานแบบตะเกียงน้ำหอมมาก็พอะบอกได้ว่ามันสามารถใช้งานได้ยาวนานประมาณ 1 อาทิตย์เต็ม กับการจุดทุกวัน วันละประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง น้ำหอมที่มากับชุดก็หมดขวดลงพอดี ส่วนตัวคิดว่าถ้าจุดใช้งานทุกวันก็ถือว่าค่าใช้จ่ายนั้นก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าใช้ขวดน้ำหอมขนาด 500ml ก็ใช้งานได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ราคาขวดละ 936.- บาท ก็ถือว่าราคาน่าคิดอยู่ แต่ของแบบนี้น่าจะเอาไว้ใช้ปรับอาคารเป็นครั้งคราว สร้างบรรยากาศให้ห้องน่าอยู่ขึ้นเป็นบางโอกาสก็ไม่เลวนะ

สรุปแล้วเป็นการแกะกล่องที่ไม่ค่อยมีรายละเอียดจริงจังให้อ่านกันสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นการแกะกล่องที่บล็อกชอบมาก เพราะตัวตะเกียง และขวดน้ำหอมนั้นสวยเหมือนขวดน้ำหอมของจริง Lolita Lempicka มาก เรียกว่าถอดแบบออกมาเป๊ะๆ และมาในขวดที่ใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก อาจจะเรียกว่าแจกันเลยก็ได้ วัสดุ รายละเอียดต่างๆ ก็ใส่ใจทำออกมาได้ดีสมราคา ส่วนเรื่องกลิ่นนั้นกลิ่นของ Lolita Lempicka นั้นก็ให้กลิ่นหอมแบบเดียวกับกลิ่นน้ำหอมเลย ที่เป็นกลิ่นหอมนุ่ม แนวเครื่องเทศหวานอบอุ่น แต่ไม่มีมิติ ความลึกของกลิ่น หรือความฉ่ำเท่ากับกลิ่นน้ำหอมจริงๆ กลิ่นหอมที่ได้นั้นก็หอมโอเค ส่วนตัวไม่ถึงกับหอมมากมาย แต่ก็ให้ความผ่อนคลายสบายใจตามคุณสมบัติของกลิ่นได้อยู่  ดั้งนั้นหากใครกำลังมองเครื่องหอมภายในบ้านที่คุณภาพดีลองดูที่ Maison Berger ด้วยเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจดีเลย

ข้อสังเกต: เมื่อเป่าไฟให้ดับไป แล้วนำฝาครอบโปร่งครอบไว้ ตัวฝาครอบโปร่ง และตัวไส้ตะเกียงจะร้อนมาก เนื่องจากตัวไส้ตะเกียงจะมีตัวเซรามิกที่ติดไฟคอยกระจายกลิ่นอยู่ ทำให้ต้องระวังในการเลือกพื้นที่วางตะเกียงพอสมควร หากกระดาษปลิวไปติดอาจจะเกิดไฟไหม้ขึ้นได้ / ตอนน้ำหอมเหลือก้นขวด ไม่อยากจุดไฟใช้งานเพราะกลัวไหม้ก็เลยเปิดฝาครอบทึบให้น้ำหอมระเหยออกไปเองจนหมดขวดนั้น ตัวตะเกียงก็กระจายกลิ่นออกมาเองดีใช้ได้เลย เพราะด้วยน้ำหอมมีเบสเป็นแอลกอฮอล์อยู่แล้วการระเหยน่าง่าย แถมกลิ่นที่ได้แบบไม่จุดไฟนั้นออกไปทางหอมใส-สดชื่นกว่าแบบกลิ่นที่ถูกกระจายด้วยความร้อนอีก น่าจะเป็นอีกวิธีสำหรับคนที่ไม่อยากเสี่ยงจุดไฟในห้องได้อยู่นะ

แถมนิดกับตะเกียงน้ำหอม Maison Berger Paris x Lolita Lempicka มันมีรุ่นพิเศษออกมาด้วยในรุ่น Art Edition ที่เป็นขวดรูปทรงเหมือนรุ่นทั่วไป แต่ใช้คริสตัลในการผลิตตัวขวดตะเกียงที่มีความใหญ่กว่าปกติ เพิ่มเถาไอวีประดับตัวขวด และฝาครอบโปร่งที่ใช้สีทองขัดเงาแทนสีทองผิวด้านจากรุ่นปกติ ที่ผลิตแบบ Handmade ทั้งหมด โดยราคาของรุ่น Art Edition นั้นค่อนข้างสูงมาก ในรุ่น ตะเกียงน้ำหอม Lolita Lempicka Art Edition Lamp อยู่ที่ 48,270.- และในรุ่น ก้านกระจายความหอม Lolita Lempicka Art Edition Diffuser อยู่ที่ 39,270.-

จากราคาที่ไม่น่าคิดจะเอามาเก็บสะสมแล้วก็นึกสนุกอยากจะหาเถาไอวี่แบบรุ่นพิเศษมาใส่ให้กับตะเกียงอันที่มีบ้าง นึกแล้วก็ลงมือทำเอาเองซะเลย ใช้โครงลวดทำเป็นแกนตามรูปแบบไว้ก่อน แล้วใช้ดินปั้นแบบแห้งเองปั้นบนโครงลวดให้ดูเป็นเถาไอวี่แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง ใบไอวี่ก็ปั้นโดยใช้ดินปั้นเหมือนเดิมปั้นตามรูปแบบใบไอวี่ตามจินตนาการ ประมาณ 3 ขนาด ทิ้งไว้ให้แห้ง พอทุกอย่างแห้งแล้วก็ติดกาวตามตำแหน่งในแบบ แล้วทาสีก็เป็นอันเสร็จสิ้น

ดูเหมือนจะง่ายนะแต่ทำจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด นั่งปั้นใบไอวี่ลองผิดลองถูกอยู่หลายสิบใบ สีทองที่ใช้ก็เหลืองอ๋อยเกินสีสองของตะเกียงไปหน่อยแต่ช่างมันก็ดูสวยอยู่ เถาไอวี่อันเดียวก็ใช้เวลารวมๆ แบบทำบ้างหยุดบ้างประมาณเกือบสองอาทิตย์เลย คิดว่าถ้าอารมณ์ดีๆ คงจะทำอีกอันให้ขวดก้านกระจายกลิ่น แต่ตอนนี้พักไว้ก่อน และนี่ละเรื่องที่เอามาแถมเล่าสนุกๆ

*เห็นว่าเดือนกันยายนนี้ทาง Maison Berger Paris ของไทยกำลังลดราคารุ่นตะเกียงน้ำหอม ของ Lolita Lempicka อยู่ด้วย เหลือแค่ 2,800.- เอง จากราคาหน้าเว็บ 4,000.- กว่าๆ เลย คุ้มอยู่นะ แต่ต้องซื้อผ่านทาง Facebook กับทาง Line เท่านั้นด้วย ใครสสนใจนี่เป็นโอกาสดีแล้ว!!

Perfume Blog: Diptyque Eau RIHLA EDP

วันนี้ได้กลิ่นหายากจาก Diptyque มาลองกลิ่นกัน นั่นคือกลิ่น Eau RIHLA กลิ่นที่ออกมาเมื่อปีก่อนแต่ไม่มีมาขายในไทยสักที เห็นขายแต่เคาน์เตอร์ต่างประเทศอย่างเกียว ด้วยความที่ขวดมีป้ายชื่อกลิ่นบนขวดสีทองอร่ามสวยงาม แพ็คเก็จลิมิเต็ทที่หรูหา ก็ทำได้แค่มองและอยากลองกลิ่นมาตลอด ก็ตามหาขวด Sample ขนาด 2ml มาจนได้ เป็นโอกาสดีที่จะได้มาลองกลิ่นลงบล็อกกันสักที

Eau RIHLA เป็นกลิ่นแนว Orientale ที่ออกมาในปี 2021 เป็นกลิ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางใน Middle East ซึ่งเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจอันหลากหลาย โดยกลิ่นได้นำเสนอกลิ่นของ Leather หรือกลิ่น “แผ่นหนัง” ที่โดดเด่น เริ่มต้นด้วย Pink Peppercorn ที่ให้กลิ่นเครื่องเทศเปล่งประกาย พร้อมด้วย Atlas Cedar, Iris, Vanilla และ Saffron ให้กลิ่นที่อบอุ่น นุ่มนวลเบาสบายที่โอบอุ้มบนผิวกาย ด้วยโน๊ตกลิ่นของ Leather, Iris, Cedar, Raspberry

โดยที่ชื่อของกลิ่น RIHLA มีความหมายว่า “การเดินทาง” ในภาษา Arabic ซึ่งเหมือนกับคณะของ Diptyque ที่ได้เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ มาตลอดเวลาตั้งแต่แรกเริ่ม หรือจะเรียกว่าเป็นกลิ่นที่แสดงให้เห็นถึงความทรงจำอันเป็นจุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจจากการเดินทางของ Diptyque นั่นเอง

กลิ่นเปิดมาให้กลิ่นหนังหวานๆ ฉ่ำๆ ที่มีกลิ่นหวานแปร่งน่าจะเป็นกลิ่นของ Saffron เสริมกลิ่นมา มันทำให้เป็นกลิ่นหนังหอมๆ ดอกไม้อวล เครื่องเทศบางๆ จากนั้นเริ่มมีความอุ่นของกลิ่นแบบกลิ่นไม้หอมแทรกขึ้นมาหน่อย ผสมกับกลิ่นแบบแป้งหอมบางในพื้นหลัง กลิ่นมันให้ความหอมใสของผืนหนังใหม่ หอมเย็น แต่ก็นุ่มอุ่นอบอวลดีทีเดียว ส่วนตัวนั้นกลิ่นหอมของกลิ่นหนังแบบนี้นั้นอยู่ยาวบนผิวไปตลอดจนจบกลิ่น

พระเจ้า! นี่มัน Ombré Leather ของ Tom Ford เวอร์ชั่นไดเอ็ทลดความหวานชัดๆ กลิ่นหนังเย็นๆ หอมหวานฉ่ำปอด ผสมกับกลิ่นอมหวานนิดของ Saffron พอให้ได้อารมณ์เครื่องเทศหรู ปนกับกลิ่นไม้หอมบาง ช่างดูหรูหรามากๆ มีความหวานลึกในกลิ่นให้มิติกลิ่นวนไปมา… จริงๆ แค่อยากจะบอกว่ากลิ่นมันดี และหอมมากเท่านั่นแหละ แค่สเปรย์เดียวกลิ่นก็ฟุ้งตลบ และให้กลิ่นที่ติดทนบนผิวดีด้วย

อยากจะบอกว่า Eau RIHLA นี่มันคือกลิ่นอีกด้านของ Ombré Leather เหมือนเป็นพี่น้องกันก็ว่าได้ ให้กลิ่นโทนเดียวกันเป๊ะ แทบจะไม่ต่างกันถ้าไม่สังเกตดีๆ จะต่างกันแค่ Eau RIHLA นั้นเนื้อกลิ่นเบากว่า หวานฉุนน้อยกว่า กลิ่นหอมสบายกว่าอีกด้วย เสียดายมากๆ ที่ไม่มีขายในไทย หวังว่าจะมีมาขายบ้างจัง ยิ่งเห็นขวดกับป้ายสีทองด้วยแล้วยิ่งเสียดายเข้าไปใหญ่ ทั้งสวย ทั้งกลิ่นดีขนาดนี้ แต่ก็แอบแพงกว่า Tom Ford Ombré Leather อยู่เหมือนกัน ถ้าให้เลือกจริงๆ ก็เลือก Ombré Leather แหละ ด้วยความที่ราคาจับต้องได้ ไม่แพงเท่า Diptyque แค่สเปรย์จำนวนพอเหมาะก็เข้ากับทุกสถานการณ์แล้ว

Gallery: Diptyque Eau RIHLA EDP

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: CHANEL Cristalle Eau Verte EDT Concentree

ครั้งนี้ได้กลิ่นที่มีคิวเลิกผลิตในเวลาอีกไม่นานนี้จาก CHANEL มาลองกลิ่น นั่นก็คือ Cristalle Eau Verte เป็นแบบความเข้มข้น EDT Concentree ที่น่าจะเข้มข้นขึ้นมาหน่อยจาก EDT ละมั้ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะหากลิ่นในรุ่น EDT มาลองเลย เหตุผลก็เป็นเพราะรูปร่างขวดที่ไม่เชิญชวนให้ลองกลิ่นสักเท่าไหร่ เป็นแท่งสี่เหลี่ยมทื่อๆ สไตล์ Vintage CHANEL ก็เลยไม่มอง แต่เพราะได้ข่าวว่ามันเตรียมเลิกผลิตแล้วและบังเอิญไปเจอแบบก้นขวดในเว็บมือสองราคาดี ก็เป็นโอกาสดีที่จะเอามาเก็บ และที่สำคัญได้เอามาลองกลิ่นสักครั้ง หยิบเอามาเป็น Blog Vintage Monday เลยละกัน

CHANEL Cristalle Eau Verte ออกมาในปี 2009 เป้นกลิ่นต่อยอดจาก Cristalle EDP ที่โด่งดังในยุค 70 จนถึงยุคหลัง โดย Eau Verte นั้นได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ที่นำความบอบบางอันอ่อนโยนจาก Magnolia มาสร้างความแตกต่างให้กับกลิ่นนี้ ผสมผสานกับกลิ่นสดชื่นของ Citrus และ Jasmine อันละเอียดอ่อน มีโน้ตกลิ่นของ Amalfi Lemon, Bergamot, Neroli, Magnolia, Jasmine, Iris, Musk

กลิ่นเปิดให้กลิ่นเลมอนหวานนวลอมเปรี้ยวโปร่งใส ที่ทำให้นึกถึงเลมอนสดฝานบางๆ มาพร้อมกลิ่นหอมสะอาดครีมนวลของดอก Magnolia เสริมได้วยกลิ่นหอมคมสดชื่นของ Neroli ที่เติมความเขียวยสดชื่นให้กับกลิ่น ที่ผ่านช่วงเวลาเปิดไปแล้วกลิ่นก็ยังคงให้กลิ่นหอมของเลมอนที่หวานอมเปรี้ยวคมใสคลอนำมาตลอดเวลา โดยที่เนื้อกลิ่นหลักๆ มีความหวานครีม ที่โปร่งเบา แบบนึกถึงแสงแดดสว่างใสส่องผ่านกิ่งก้านของต้นเลมอน กับความหอมสะอาดของดอก Magnolia พัดลอยมาตามลม

เป็น Cristalle อย่างที่คิดไว้ ให้ความเบากว่าเดิม สดชื่นกว่า ผ่อนคลายกว่า หวานนุ่มกว่าแต่ก็ไม่ได้หวานจนเกินไป ด้วยกลิ่นเด่นของดอก Magnolia ที่มาเพิ่มความแตกต่างให้กับกลิ่นนี้ ผสมกับเลมอนและ Neroli แล้วให้กลิ่นที่หอมหวานสดใสดีทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นก็มีความเป็นผู้ใหญ่สุขุมด้วยกลิ่นที่ติดเขียวคมๆ เหมือนเปลือกมะนาว ร่วมด้วยกลิ่นหอมสวยของ Jasmine กับ Musk ที่เสริมกลิ่นในช่วงหลัง เรียกว่าเป็นกลิ่นที่เหมาะกับฤดูร้อนใช้ได้เลย

เป็นน้ำหอมแนวกลิ่นซีตรัสคมๆ ใสๆ ที่ชอบอีกกลิ่นเลย ไม่มะนาวจ๋า ไม่เขียวจัด แต่มันอยู่กลางๆ ให้ความเด่นของกลิ่นที่แปลกแตกต่างจาก Magnolia ตัวกลิ่นนั้นฟุ้งกระจายที่ดี ติดบนผิวค่อนข้างทนอีกด้วย ซึ่งแปลกใจมากจากพวกน้ำหอมกลิ่นซีตรัสสดชื่นเท่าที่เลยได้ลองกลิ่นมา (ยกเว้นกลิ่นจาก TomFord นะ) น่าเสียดายที่จะถูกปลดระวางในอีกไม่นานนี้ โชคดีที่เจอขวดมือสองเอามาลองกลิ่นก่อนจะหาไม่ได้อีกแล้ว

CHANEL Cristalle Eau Verte EDT Concentree 100ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Britney Spears Circus Fantasy EDP

กลิ่นที่สองของ Britney Spears ที่เลือกมาลองกลิ่นครั้งนี้เลือกตระกูล Fantasy มา รุ่น Circus Fantasy ที่เลือกกลิ่นนี้ก็เพราะชอบสีของขวดรุ่นนี้ สีฟ้าจุดแดง และแพคเกจก็เล่นสีฟ้าใส ตัดกับแดง ตัดกับเหลืองโดดเด่นกว่าคนอื่นในรุ่นด้วยสวยดี ไม่รู้ว่าโน๊ตกลิ่นมีอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเป็นกลิ่นแนวขนม แนวดอกไม้หวานๆ ทั่วไปตามสไตล์ เลยไม่คาดหวังในกลิ่นสักเท่าไหร่ แค่ขวดสีสวยเท่านั้นเอง

Britney Spears Circus Fantasy เป็นกลิ่นที่ออกมาในปี 2009 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Floral Fruity มีโน้ตกลิ่นของ Raspberry Zet, Apricot Blossom, Peony, Lotus, Orchid, Vanilla, Musk, Violet Candy

กลิ่นเปิดแบบกลิ่นหวานลูกอมกัมมี่รสราสเบอร์รี่ที่มีความเย็นซ่าหอมอมเปรี้ยวสดชื่น ตามมาด้วยกลิ่นหอมแนวดอกไม้หวานนวล แซมกลิ่นใสๆ แบบดอกไม้หวานที่คล้ายกลับกลิ่นน้ำหอมแนวดอก Peony ที่ผสมกับกลิ่นขนมกัมมี่รสผลไม้ เป็นกลิ่นที่หอมสดใส โปร่งๆ ไม่แน่นหรือนุ่มนวลมากอะไร ช่วงกลางของกลิ่นไปแล้วให้กลิ่นแบบลูกอมหวานใส กลิ่นหอมนวลที่ให้ความรู้สึกฝุ่นฟุ้งๆ เย็นๆ คล้ายกลิ่นจางของวนิลา กับพวกลิ่นแนวไม้หอมทั่วไป ไปจนจบกลิ่น

เป็นกลิ่นที่สดใส ขนมๆ ดอกไม้หวานๆ สดชื่นเลยกลิ่นนี้ ให้กลิ่นโปร่ง เบาไปตั้งแต่ต้นจนจบกลิ่น ใช่แล้วกลิ่นมันหอมสดชื่นนะ แต่มันไม่ฟุ้ง ไม่ทนสักเท่าไหร่ ให้อารมณ์น้ำหอมของเด็กซะมากกว่ากลิ่นนี้ ส่วนตัวนั้นชอบกลิ่นหอมขนม แบบสดชื่นแบบนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่กลิ่นมันอยู่ไม่ทนแค่ไม่เกินชั่วโมงก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นแล้ว เอาเป็นว่าซื้อเพราะขวดสีสวยนี่ละ

Britney Spears Circus Fantasy EDP 30ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Paco Rabanne PHANTOM EDT

วันนี้จะมาลองกลิ่น Paco Rabanne PHANTOM ที่ขวดเป็นรูปหุ่นยนต์ Android สีเงินน่ารัก เห็นขวดมันแปลกดีอยากรู้ว่ากลิ่นมันจะเป็นยังไงเลยไปหามาลองกลิ่นดู ได้แบบขวดแต้ม Miniature ขนาด 5ml มา ขวดเล็กก็ยังน่ารักดีเหมือนกัน

PHANTOM ออกมาเมื่อปี 2021 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Aromatic Fragrance ที่มีโน๊ตกลิ่นจาก Lavander Absolute, Italian Lemon, Haiti Vetiver, Woody Vanilla

กลิ่นเปิดมาหวานแปลกพิกล กลิ่นมะนาว กับกลิ่นหวานแบบแอ๊ปเปิ้ลให้กลิ่นเหมือนน้ำเชื่อมข้นๆ ที่แทรกกลิ่นอมเปรี้ยวคลอในพื้นหลัง เป็นกลิ่นที่หอมเย็น แต่ก็อบอุ่นด้วยความหวานฉ่ำ สักพักกลิ่นก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเป็นกลิ่นหวานกลมแนวกลิ่นน้ำเชื่อม กับ วนิลาขมๆ มีกลิ่นแบบดอกลาเวนเดอร์โปร่งแทรกมาเบาๆ ช่วงหลังของกลิ่นนั้นให้กลิ่นแบบหวานฉ่ำ แนวคาราเมลกับกลิ่นไม้ทึบๆ ที่ดูขรึมนุ่มดูดีเลยทีเดียว

เป็นกลิ่นที่แปลกมาก เป็นกลิ่นที่ทำให้นึกถึงปลากระป๋อง กลิ่นของซอสมะเขือเทศเค็มๆ ในช่วงเปิด พอมีกลิ่นลาเวเดอร์แทรกขึ้นมารวมกันแล้วกลิ่นเหมือนพวกพลาสติก ยางสังเคราห์อะไรแบบนั้น แปลกดี แต่หอมนะมีความเย็นโปร่งเวลาได้กลิ่นลอยมาตามลม แต่ก็มีความหวานลึกทึบ เข้มๆ บนผิวอบอุ่นดี บอกไม่ถูกว่ากลิ่นเป็นแบบไหนเลย แต่รู้อย่างเดียวว่าถ้ากลิ่นมาแบบนี้น่าจะติดทนพอตัว ความฟุ้งไม่ต้องถามฟุ้งดีมาก ขนาดลองกลิ่นจากขวดแต้มกลิ่นก็ค่อนข้างฟุ้งชัดเจน

โดยกลิ่นนี้ให้ความต่างระหว่างบนผิว กับบนเสื้อผ้ามากพอดู บนผิวให้กลิ่นหวานนุ่มทึบๆ อบอุ่น บนเสื้อผ้าให้กลิ่นหอมเย็นโปร่งของลาเวนเดอร์กับแอ๊ปเปิ้ลชัดมาก รู้สึกว่ากลิ่นนี้เคมีเข้ากับผิวของตัวบล็อกเองมากให้กลิ่นหอมที่ออกแนว Woody หวานแบบวนิลาไหม้ พร้อมกับกลิ่นที่ออกไปทางกลิ่นพลาสติกสังเคราะห์หน่อยๆ ถูกใจเลย สรุปแล้วยังคงเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นออกไปทางวัยรุ่นสายเที่ยว ที่ให้กลิ่นฉ่ำแน่นสไตล์ Paco Rabanneก ไม่ผิดเพี้ยน

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Oriental Princess For Men Secret Code EDT

วันนี้หยิบเอาน้ำหอมจากแบรนด์เครื่องสำอางค์ราคาประหยัดมาลองกลิ่นกัน เพิ่งมาเห็นว่า Oriental Princess ทำผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายออกมาด้วย ไม่รู้ว่ามีมานานรึยังแต่เพิ่งไปสะดุดากับซุ้มสีดำหน้าร้านนั่นละ และเจอน้ำหอมในชุดผลิตภัณฑ์ด้วยน่าสนใจ เลยหยิบกลับมาลองสักหน่อย

ป้ายโฆษณาเชิญชวนมาก กลิ่นหอมติดทนนานถึง 8 ชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย ราคาแค่นี้เองน่าสนใจจริงๆ

ขวดน้ำหอมเป็นแบบเรียบๆ ธรรมดา แต่พ่นสีเทาโปร่งใส มีผิวสัมผัสด้านๆ ดูดีเลย

กลิ่นเปิดแอลกอฮอลล์แรงมาก สักพักจะได้กลิ่นหอมแบบมะนาวแห้งๆ กับไม้หอมบางๆ แนวกลิ่นสปอร์ทสดชื่น กลิ่นใส เรียกว่ากลิ่นดีมาก คล้ายกับกลิ่นของยี่ห้อดังบางกลิ่น แต่ก็ไม่แปลกเพราะกลิ่นแนวนี้เป็นกลิ่นที่เจอได้ตลอดเมื่อพูดถึงน้ำหอมผู้ชาย โดยกลิ่นของ Oriental Princess นั้นออกไปทางกลิ่นหอมเบาบางใส แบบไม่มีความฉุนหรือหนักแน่นอยู่เลยก็ว่าได้ เป็นกลิ่นแนวอโรแมติคใสของไม้หอมที่เน้นไปทางให้ความสดชื่นโปร่งของกลิ่น

น่าแปลกที่กลิ่นหอมนั้นจะเด่นชัดเมื่อฉีดกับผิวมากกว่าฉีดบนเสื้อผ้า โดยกลิ่นบนผิวนั้นให้มิติของกลิ่นที่ดีมากเทียบกลิ่นแบรนด์ดังได้เลย แต่กลิ่นบนเสื้อผ้านั้นเหมือนว่าจะเปลี่ยนกลิ่นช้ากว่าทั้งที่ฉีดไปสักพักแล้วยังคงให้กลิ่นแบบมะนาวช่วงต้นอยู่ให้อารมณ์ Cologne อาฟเตอร์เชฟกลิ่นสะอาดๆ ก็ว่าได้ แต่กลิ่นบนผิวนี่มันให้กลิ่นไม้หอมนุ่มใส พร้อมมิติกลิ่นนวลๆ แบบกลิ่นน้ำหอมราคาแพงเลย ทำให้ครั้งแรกที่ลองก็แปลกใจเหมือนกันว่ากลิ่นบนผิวหอมดีขนาดนี้เลยนะเนี่ย

กลิ่นที่ได้นั้นให้อารมณ์กลิ่นน้ำหอมของ CHANEL พวก Blue de Chanel ผสมกับ Hermes Terre d’Hermes ประมาณนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่ากลิ่น “เหมือน” นะ แค่อยากจะบอกแนวกลิ่นที่ได้ต่างหาก ส่วนตัวถ้าให้เหมือนแบบพวกน้ำหอม Dupe เลยละก็ห่างกันมากยังไม่ถึงขนาดนั้น ยิ่งของ Oriental Princess นั้นกลิ่นที่ได้มันบางเฉียบ ไม่หนักแน่นเหมือนพเขาสักเท่าไหร่ด้วย จากที่ลองใช้มาวันสองวันก็รู้สึกว่ากลิ่นมันค่อนข้างใส เบา ทำให้คิดไปว่าความเข้มข้น EDT ที่ว่านั้นมันก็ยังเบาไป เรียกว่าเป็นกลิ่นแบบ Cologne ซะมากกว่า เพราะอะไร? ก็เพราะว่ากลิ่นมันไม่ได้ฟุ้งกระจาย และติดทนแบบ 8 ชั่วโมงแบบที่โฆษณาน่ะสิ

จากที่ลองใช้จริงแล้วกลิ่นมันฟุ้งแค่ตอนฉีดปนกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่แรงแค่ไม่นาน จากนั้นกลิ่นก็ตกลงเป็นกลิ่นรอบๆ ตัวประมาณสักสองชั่วโมงแรก หลังจากนั้นกลิ่นมันกลายเป็นแบบกลิ่นติดผิวไป แบบที่ต้องเอาจมูกจิ้มลงไปดมถึงจะได้กลิ่นแบบว่ากลิ่นโรลออนยังแรงกว่าเลย กลิ่นเบาแบบนั้นละที่ติดไปยาว 6-7 ชั่วโมง โดยเอาไปฉีดเติมช่วงบ่ายก่อนกลับบ้านกลิ่นที่เหลือมาถึงบ้านก็แค่กลิ่นติดเสื้อผ้าบางๆ เท่านั้นเอง น่าเสียดายกลิ่นมากเพราะกลิ่นมันหอมใช้ได้เลย ทำให้ยั้งมือที่จะไปเอามาอีกขวดไว้ก่อน แต่ถ้าใครชอบกลิ่นที่หอมโปร่งเบา ไม่ทำให้คนอื่นรำคาญ แค่ทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อบังเอิญได้กลิ่นละก็โอเคเลย แต่ต้องขยันพกมาฉีดเติมบ่อยๆ หน่อยละ

สรุปเป็นกลิ่นเริ่มต้นที่ไม่เลวทีเดียว แพ็คเกจดี ขวดสวยเรียบขรึม กลิ่นหอมแบบผู้ชายเท่ๆ ประสิทธิภาพตามราคา ยิ่งพอไปเห็นขายใน Shopee จากร้าน Oriental Princess เองด้วยแล้วยิ่งปวดใจสำหรับคนไปซื้อมาจาก Shop เพราะลดราคาสะบั้นหั่นแหลกเหลือแค่ 400 กว่าๆ เท่านั้น ไม่ต้องนึกถึงต้นทุนเลยทีเดียว ใครสนใจแนะนำเข้าไปหาซื้อใน Shopee น่าจะคุ้มสุด

Oriental Princess For Men Secret Code EDT 50ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Hermes Terre d’Hermes Parfum

กลิ่นแรกจากแบรนด์ Hermes ทีเอามาลองก็คือ Terre d’Hermes Parfum หนึ่งในไลน์น้ำหอมผู้ชายที่นิยมมากอีกกลิ่นหนึ่ง รุ่นที่ได้มาลองก็เป็นรุ่น Parfum น่าจะเป็นรุ่นปัจจุบันสุดแล้ว รายละเอียดของกลิ่นจาก Hermes หาอ่านแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจแต่ในเว็บบรรยายไว้ประมาณว่า ให้กลิ่นที่อบอุ่น และความหนักแน่นของไม้หอม ประสานกับความนุ่มนวลของ Benzoin และความสดใสของ Shiso โน๊ตก็ตามนั้นเลย Grapefruit, Cedar, Shiso

ให้กลิ่นแบบส้มหอมเย็นอมเปรี้ยว ซ่าๆ กลิ่นสดชื่นแบบที่ได้กลิ่นก็ต้องรู้ทันทีว่ากลิ่นน้ำหอมผู้ชาย กลิ่นกลมอมเปรี้ยวฉ่ำติดกลิ่นขมเล็กๆ แต่ก็นุ่มคล้ายไม้หอมอุ่นๆ พร้อมกลิ่นเขียวเข้มขรึมในพื้นหลัง เสริมให้กลิ่นดูแมน เรียบง่ายแต่คลาสสิค

จะบรรยายยังไงดี กลิ่นมันเหมือนจะธรรมดาแต่พอลองแล้วลองอีกกลับรู้สึกว่ามันบรรยายไม่ออก มันหอมแบบวินเทจ แต่ก็ไม่ได้เหมือนกลิ่นน้ำหอมเก่า มันให้กลิ่นหอมแบบน้ำหอมผู้ชายสมัยใหม่ผสมกับกลิ่น Old School แบบกลิ่นร้านตัดผม Vintage เรียกว่ากลิ่นหล่อมาก ดูชิลก็ได้ เป็นทางการก็ได้ หอมจริง แค่ลองแบบขวดแต้มกลิ่นก็ฟุ้งพอตัว แต้มที่คอนี่ฟุ้งได้กลิ่นมาตลอดและติดทนอีกด้วย แค่ขวดแต้มก็คุ้มแล้วเนี่ย

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday