Perfume Blog: Dolce & Gabbana Dolce Peony EDT

มาถึงกลิ่นสุดท้ายที่หยิบมาลองกลิ่นในตระกูล Dolce แล้ว นั่นคือ Dolce Peony กลิ่นที่ตอนออกมาใหม่ๆ นั้นคนชอบกันมาก ใครๆ ก็ชอบ ก็ว่าหอม เรียกว่าขายดีกันเลย ตอนนั้นไม่อินกับตระกูล Dolce เลยไม่คิดจะเอามาลองกลิ่น แต่ช่วงปลายปีก่อนก็ได้เอา Dolce Garden มาลองกลิ่นเท่านั้นแหละ เกิดติดใจขึ้นมาซะงั้น จึงเป็นเหตุให้ตามเอากลิ่นอื่นในตระกูลมาลองกลิ่นและเก็บเป็นคอลเล็คชันให้ครบอย่างที่เห็น

Dolce Peony ออกมาในปี 2019 เป็นกลิ่นที่ 5 จากตระกูล Dolce นำเสนอด้วยดอก Peony ที่เป็นสัญลักษณ์พลังของการคิดบวก ที่แสดงถึงความเป็นผู้หญิง เปี่ยมด้วยความสดชื่นด้วยผลไม้ฉ่ำหวาน ดอกไม้โดดเด่น และความนุ่มนวลของน้ำผึ้ง มีโน้ตกลิ่นของ Spicy Pink Pepper, Bergamot, Nashi Pear, Cyclamen, Peony, Bulgarian Rose, Freesia, Yellow Plum Nectar, Patchouli, amber

กลิ่นเปิดให้กลิ่นลูกแพร์หวานหอมฉ่ำ ผสมกับกลิ่นซ่าคมของซีตรัส เป็นกลิ่นเปิดที่หอมหวานเหมือนลูกอมผลไม้ กลิ่นกลมที่ให้ความรู้สึกมันวาว หนึบหนับ ยิ่งกลิ่นหวานฉ่ำๆ ด้วยแล้วอดคิดถึงของกลิ่นไม่ได้ พอกลิ่นหวานเริ่มคงตัวและลดกำลังลงแล้วจะให้กลิ่นหอมระเรื่อแบบกลิ่นดอกไม้ที่ให้กลิ่นหอมบางเบาละมุน ที่จะว่าเหมือนกุหลาบก็ได้แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว กลิ่นหอมละมุนมากช่วงกลางของกลิ่น กลิ่นแบบวันฟ้าใสแสงแดดอ่อน อากาศดีในอุดมคติเลย โดยที่กลิ่นตลอดช่วงจะคลอมากับกลิ่นหวานกลมๆ เหมือนกลิ่นลูกอมผลไม้ตลอดเวลา ช่วงท้ายนั้นปิดด้วยกลิ่นนุ่มแบบเครื่องเทศบางอย่างแห้งๆ อมหวานติดผิวไปจนจบกลิ่น

กลิ่นเปิดหอมมากอีกแล้วให้กลิ่นลูกแพร์ที่หวานฉ่ำน้ำชัด โปร่งใส สดชื่น อารมณ์วัยรุ่นแรกแย้มใสๆ ช่วงกลางเพิ่มกลิ่นดอกไม้บางเบาที่ไม่เหมือน Peony คิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นรวมๆ ของโน๊ตกลิ่นดอกไม้ผสมกับ Bulgarian Rose มาลดความความให้กลิ่นตกตะกอนหนาขึ้นกลิ่นช่วงนี้ก็หอม หอมเหมือนของกินอะไรสักอย่าง ยิ่งผ่านไปช่วงหลังกลิ่นยังคงความหวานที่เหมือนน้ำผึ้งข้นๆ ดูเทียบจากโน้ตกลิ่นเพราะนึกไม่ออกว่ามันหวานเหมือนอะไรน้ำผึ้งก็เข้าเค้าสุด (ในเว็บไซต์ของ DG เองไม่ได้ระบุ Honey ในโน้ตกลิ่น) แต่กลิ่นมันหอมน่ากินมาก และกลิ่นฟุ้ง ติดทนดีอีกด้วยแบบแหวกแนวรุ่นพี่กันเลย

สรุปกลิ่นนี้หอมน่ากินสุดจากที่ลองมาทุกรุ่นในตระกูลแล้ว หวานใส ที่หวานฉ่ำสดชื่นไปตลอดทั้งช่วงอายุ ไม่มีความนวลของมักส์อับๆ มากวนใจแบบบางกลิ่น ไม่หวานเกินจนรู้สึกฉุนแบบใน Garden แต่กลิ่นนี้ให้กลิ่นหวานเยิ้มหน่อยๆ น่ากินทุกครั้งที่กลิ่นลอยมาทำให้มันจะดูเป็นกลิ่นขนมไปหน่อย เลยทำให้โทนของกลิ่นดูเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่นกว่ารุ่นอื่นๆ ไม่มีอะไรมาเบรกให้ดูสาวขึ้นเลย ส่วนตัวชอบกลิ่นแบบนี้นะ ไม่ต้องมามีมิติอะไรมากมาย หอมเริ่มต้นยังไงก็หอมอย่างนั้นไปจนสุด ชอบดูเรียบง่ายดี แต่! ชื่อกลิ่น Peony กลับไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นกลิ่นแนว Peony อย่างที่เคยรู้จักนี่สิแปลกดี

Dolce & Gabbana Dolce Peony EDT 75ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce & Gabbana Dolce Rosa Excelsa EDT

วันนี้หยิบเอากลิ่น Dolce ที่หายากมาลองกลิ่นอีกแล้ว เหตุผลเดิมที่หายากก็คือมันเลิกผลิตไปแล้วนั่นเอง กลิ่นนั้นคือ Dolce Rosa Excelsa ในขวดแก้วขุ่นเอกลักษณ์ของรุ่น EDT ที่น่าจะเป็นกลิ่นสุดท้ายทียังคงผลิตโดย P&G ก่อนจะเปลี่ยนมือไปเป็นของ Shiseido แล้วก็เลิกทำขวดแก้วขุ่นสำหรับรุ่น EDT รุ่นหลังๆ กลิ่นนี้ถูกพูดถึงและตามหากันหลังจากลิ่นใหม่ Dolce Rose ออกมาเมื่อปีก่อนเพราะถูกเปรียบเทียบเรื่องความหอม ตัวบล็อกก็ไม่พลาดที่จะหาเอามาลองกลิ่นให้รู้ว่ามันจริงไหม

Dolce Rosa Excelsa ออกมาในปี 2016 เป็นกลิ่นที่ 3 จากตระกูล Dolce เป็นกลิ่นน้ำหอมแนว Floral ที่ให้ภาพสง่างามอย่างผู้หญิงอิตาเลียน ให้กลิ่นหลักอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Papaya Blossom และ Neroli Leaves ที่สดชื่น พร้อมกับ White Water Lily และ White Deffodil พร้อมด้วยกลิ่นอันน่าดึงดูใจจาก African Dog Rose และ Turkish Rose ปิดท้ายด้วยความนุ่มละมุนจาก SandalWood, Musk และ Cashmere

กลิ่นเปิดมาเขียวใสที่หวานเอื่อยนุ่ม ให้อารมณ์ของกลิ่นดอกหญ้าช่วงเวลาฝนตก ตามมาด้วยกลิ่นกุหลาบนุ่มอ่อนบางตีคู่มากับกลิ่นหวานนุ่มอมเขียวในช่วงต้น ผสมกันให้กลิ่นดูหนาฉ่ำขึ้น กลิ่นให้ความรู้สึกหวานเหนอะตามสไตล์ Dolce ผ่านไปสักพักลิ่นหวานเขียวใสแบบกลิ่นดอกบัวเอกลักษณ์เริ่มแทรกขึ้นมาชัดขึ้น แต่เพิ่มด้วยกลิ่นกุหลาบหวานนุ่มให้ความโปร่งใสของกลิ่นชัดขึ้นกว่าเดิม ที่กลิ่นช่วงหลังยังคงเป็นกลิ่นนวลของมักส์ติดเขียวอับ นุ่มอมหวานคลอไปจนจบกลิ่น

กลิ่นหอมหวานนุ่ม ต่างจากรุ่นพี่ไม่หวานแหลมคม หรือฉ่ำเยิ้มเหมือนต้นฉบับ แต่ให้กลิ่นที่หอมโปร่งใส แต่มีเนื้อหนังไม่บางเฉียบอย่าง Floral Drops เพิ่มเติมคือกลิ่นกุหลาบหวานคลอเป็นฐานให้ความแตกต่างดูเซ็กซี่ขึ้นเยอะ กลิ่นช่วงต้นฟุ้งกำลังดีให้กลิ่นไปทางหวานเขียว ชื้นๆ และลดระดับมาเป็นกลิ่นหวานนุ่มคลอไปจนจบกลิ่น ถึงจะเป็น EDT แต่กลิ่นมันไม่บางเลย เนื้อกลิ่นฉ่ำกำลังดีให้กลิ่นติดทนแบบน่าพอใจสำหรับแบบ EDT ส่วนตัวรู้สึกว่ามันให้กลิ่นแบบดอกบัวเขียวหวานๆ ที่มีกลิ่นกุหลาบนิดๆ ยาวจนกลิ่นเริ่มจางเลย

สรุปว่ากลิ่น Rosa Excelsa ที่เลิกผลิตไปและคนต่างเอามาเปรียบเทียบกับกลิ่น Rose ที่เพิ่งออกมาปี 2021 ว่ากลิ่นเก่าดีกว่า ติดทนกว่านั้นก็จริงครึ่ง ไม่จริงครึ่งละจากประสบการณ์ส่วนตัว โดยกลิ่น Rosa Excelsa มีเนื้อกลิ่นที่หนากว่ากลิ่น Rose แบบเห็นได้ชัดด้วยกลิ่นหวานที่แน่นให้กลิ่นดูเป็นผู้ใหญ่กว่า (แต่ก็ไม่แน่นอย่างที่คิดนะ) ส่วนกลิ่น Rose นั้นออกไปทางกลิ่นกุหลาบใสๆ หวานอมเปรี้ยวแบบวัยรุ่นเลย ดูเป็นกลิ่นตลาดมากไปนั่นอาจจะทำให้คนที่เคยลองกลิ่นเก่ามาก่อนรู้สึกแปลกกับกลิ่นใหม่ที่เปลี่ยนโทนไปก็ได้ ส่วนตัวแล้วคิดว่ากลิ่น Rosa Excelsa นั้นหอมดี แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกับกลิ่น Dolce ดั้งเดิมมากขนาดที่ต้องว่ามันดีกว่าเดิม ส่วนกลิ่นใหม่ Rose นั้นเพิ่มเติมความเป็นวัยรุ่นใสๆ ให้กับตระกูล Dolce ไม่แปลกใจที่กลิ่น Rosa Excelsa นั้นเลิกผลิตไปเพราะคิดว่ากลิ่นมันไม่ค่อยแตกต่างจากเดิมสักเท่าไหร่

Dolce & Gabbana Dolce Rosa Excelsa EDT 75ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce & Gabbana Dolce Shine EDT

Dolce กลิ่นต่อมาที่หยิบมาลองกลิ่นก็ Dolce Shine ขวดสีเหลือง ออกมาในปี 2020 เป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นสว่างใส มอบความมีชีวิตชีวาสดชื่นจากผลไม้ และดอกไม้ ดุจการใช้ชีวิตที่สนุกสนานของชาวอิตาเลียน มีโน้ตกลิ่นของ Mango, Grapefruit, Quince, Jasmine, Solar Note, Orange Blossom, Ozonic, Salty Note, Blond Woods, Sandalwood, White Musk

เปิดมาแบบซีตรัสคมๆ บาดจมูก ตามด้วยกลิ่นหอมของผลไม้ฉ่ำ กลิ่นแบบเวลาเราบีบผลไม้แล้วกลิ่นเนื้อหวานๆ ผสมกับกลิ่นเขียวของเปลือกตัดกันแปลกดี ถ้าตามโน๊ตน่าจะเป็นกลิ่นมะม่วงที่ไม่ใสนัก แต่หวานกำลังดี ทิ้งไว้สักพักเริ่มได้กลิ่นแบบกลิ่นโปร่งสะอาดเหมือนสูดอากาศสดชื่นที่ให้ความซ่าเย็น แต่ก็เหมือนกลิ่นเหมือนทะเล กลิ่นแสงแดดที่เผาผิวเราให้กลิ่นหอมแปลกๆ มากับกลิ่นดอกไม้ไหวแบบกลิ่นดอกซ่อนกลิ่นนวลผสมกับมะลิหน่อยๆ หอมหวานเบาโปร่งเหมือนนั่งอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจีโล่งๆ พร้อมกับลมเย็นจากชายหาดตอนแดดจ้า

กลิ่นหอมโปร่งนึกถึงสีเหลืองสดใสของขวดเลย กลิ่นผลไม้หวานฉ่ำน้ำตัดกับกลิ่นซีตรัสคมๆ บาดจมูกในช่วงเปิดมันถูกใจดี ช่วงกลางของกลิ่นก็ให้กลิ่นที่โปร่งเหมือนช่วงต้น เป็นกลิ่นหอมสะอาดๆ ที่ได้ดอกไม้มาคลอทำให้กลิ่นดูนุ่มดี บางทีกลิ่นช่วงกลางนี้มันก็ให้ความรู้สึกหวานเหนอะๆ เหมือนกลิ่นเบาะยาง หรือกลิ่นพลาสติกในบางที ช่วงท้ายยังคงเหมือนกลิ่นรุ่นอื่นที่ตบด้วยมักส์ กับไม้หอมบางเบา

ลองมาสักพักก็รู้สึกว่ากลิ่นมันเหมือนกลิ่นพวกสบู่ แชมพูเด็กอะไรแบบนั้น กลิ่นออกจะดูสังเคราะห์แข็งๆ บ้าง ถ้าไม่คิดมากก็โอเคอยู่ กลิ่นโดยรวมก็ยังเป็นน้ำหอมที่กลิ่นสะอาด โปร่ง แนวสดชื่นใสๆ  เหมาะกับช่วงฤดูร้อนเหมือนเดิม เนื้อกลิ่นบางเบาให้กลิ่นคลอบางรอบๆ ตัวเท่านั้น ไม่ฟุ้งเท่าไหร่ แต่เป็นกลิ่นที่แสดงตัวตนตรงตามขวดได้เป๊ะดีเลย เป็นกลิ่นหอมสะอาดที่ไม่ซับซ้อน เหมาะเอาไว้ใช้ในทุกๆ วันอีกด้วย

Dolce & Gabbana Dolce Shine EDT 75ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce & Gabbana Dolce Lily EDT

สวัสดีบล็อก! วันนี้จะมาลองกลิ่นใหม่ล่าสุดของ Dolce & Gabbana คือกลิ่น Dolce Lily ที่มาในความเข้นเข้นแบบ EDT แต่รอบนี้ไม่ได้มาในขวดแก้วขุ่นเหมือนรุ่นดั่งเดิมแล้ว แต่เป็นขวดแก้วใสธรรมดาสีชมพูเหมือนรุ่น EDP แทน ชื่อกลิ่น Lily ทำให้ตัวบล็อกสนใจมากว่าให้กลิ่นดอก Lily หลักๆ เลยไหม เพราะชอบกลิ่นของดอก Lily มาก ไม่ลังเลที่จะหยิบมาลองกลิ่นกันในวันนี้

Dolce Lily กลิ่นล่าสุดที่ออกมาในปี 2022 เป้นกลิ่นที่ออกมาในคอนเส็ปดอกลิลลี่สีชมพูสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Fruity Floral ที่รวมเอากลิ่นบอบบางของดอกไม้มาไว้ในขวดสีขมพูที่เป็นเอกลักษณ์ มีโน้ตกลิ่นของ Zesty Citrus, Bergamot, Passion Fruit, Pink Lily, Rose, Musks, Sandalwood, Vanilla

กลิ่นเปิดกลิ่นเสาวรสหวานอมเปรี้ยวผสมกับซีตรัสบางๆ ให้กลิ่นน่ากินมาก เป็นกลิ่นแบบเสาวรสหอมหวานที่คุ้นเคยกันดี ไม่เปรี้ยวมากเท่าไร่ ออกไปทางกลิ่นหวานโปร่งๆ ที่ให้กลิ่นยาวนาน พอกลิ่นผ่านไปสักพักเริ่มมีกลิ่นแบบกุหลาบแซมขึ้นมาให้ความนุ่มละมุนไปกับกลิ่นเสาวรสที่ยังคงลอยอยู่ไม่หายไปไหน พอกลิ่นหลักๆ สองกลิ่นมารวมกันแล้วให้กลิ่นที่หอมหวานอมเปรี้ยวแบบน่ากิน เปรี้ยวปากแต่ก็มีกลิ่นหอมเขียวชื้นๆ คลอมาเป็นพื้นหลังเสริมให้กลิ่นดูมีมิติขึ้นดูเป็นน้ำหอมขึ้นมาหน่อย กลิ่นช่วงนี้ละหอมมาก หอมเสาวรสใสๆ แทรกไปมาดูสดใสสดชื่นดี กลิ่นช่วงหลังนั้นยังคงมีเสาวรสแซมมาบางๆ ผสมกับกลินมักส์นวลๆ ที่ไม่ฉุนเลย

เป็นน้ำหอมที่ชื่นกลิ่น กับกลิ่นไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ ชื่อ Lily แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นดอก Lily อย่างที่คุ้นเคยเลย กลับได้กลิ่นแต่เสาวรสหวานนุ่มๆ เป็นกลิ่นหลัก เหมือนกลิ่นน้ำเสาวรสปั่นอยู่ตลอดเวลา ให้กลิ่นหอมใส แบบใสกิ๊ง หวานแต่หอมสดชื่น นุ่มด้วยมักส์กับกุหลาบบางๆ เท่านั้น หอมมาก เหมาะกับหน้าร้อนแบบนี้สุดๆ ความฟุ้งของกลิ่นก็พอดีๆ ไม่เวอร์สำหรับกลิ่นใสแบบนี้ ติดทนอยู่พอดู ได้กลิ่นติดตัวอยู่นาน 4-5 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเป็นกลิ่นเบาๆ ติดผิวหอมดี ส่วนตัวขอพกมาฉีดเพิ่มเพื่อที่กลิ่นจะได้ติดนานขึ้น

Dolce Lily กลิ่นล่าสุดจากตระกูล Dolce ไม่แปลกใจที่กลิ่นออกมาหอมแบบนี้ กลิ่นเบาสบาย หอมใสสดชื่นตามสไตล์ ที่ Dolce จะออกมาช่วงฤดูใบไม้ผลิ – ฤดูร้อน ของทุกปี แต่ปีนี้หอมใสสุด ไม่มีความฉุน หรือหวานฉ่ำเกินไปเลย กลิ่นเสาวรสที่อยู่ทนนานให้ความสดชื่นน่ากินไปตลอดช่วงอายุกลิ่น ทำเอาแปลกใจดีไม่หยอก ตอนแรกคิดว่าจะเป็นกลิ่นดอก Lily อย่างชื่อซะอีก แต่กลับแทบจะไม่รู้สึกถึงกลิ่นดอก Lily เลย รึว่าเป็นดอก Lily ที่เราไม่รู้จักกันนะ ถึงยังไงก็เป็นกลิ่นที่แปลกใหม่ ค่อนข้างแตกต่างจากกลิ่นอื่นในตระกูล Dolce ก็ว่าได้ ไม่ต้องหอมหวานมาก ให้ความใสของกลิ่นที่โดดเด่นไม่เหมือนใครดี

Dolce & Gabbana Dolce Lily EDT 75ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce & Gabbana Dolce Floral Drops EDT

สวัสดีบล็อก! หายไปนานจากการลองกลิ่นน้ำหอมลงบล็อก วันนี้กลับมาพร้อมกับของหายาก ที่หายากก็เพราะมันเลิกผลิตไปแล้ว กลิ่นที่ว่าก็คือ Dolce & Gabbana Dolce Floral Drops จากที่ได้เปิดประเด็นลองกลิ่นใหม่ๆ จากไลน์ Dolce ในบล็อกก่อน มาแล้วติดใจกับฝาดอกไม้ใหญ่ๆ อันนั้น และกลิ่นที่หอม ติดทนจนน่าแปลกใจ ก็เป็นแรงขับเคลื่อนในการสะสมชุดกลิ่นนี้ละ อย่างที่บอกไปจะเก็บสะสมทั้งทีก็ต้องเอาให้ครบทุกกลิ่นเท่าที่หาได้ โดยกลิ่นนี้นี่แหละเป็นรุ่นที่หายากที่สุด ปัจจุบันแทบจะไม่เห็นลงขายกันเลย แม้กระทั้งขวดมือสอง คงด้วยเพราะมันไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่ คนที่มีก็คงจะเก็บสะสมเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็หามาจนได้ ก็ขอหยิบมาลองกลิ่นเป็นกลิ่นแรกหลังจากพักไปนาน

Dolce & Gabbana Dolce Floral Drops เป็นกลิ่นที่ออกมาในปี 2015 หนึ่งปีให้หลังจาก Dolce กลิ่นแรก เป็นกลิ่นที่ถูกวางไว้ให้เป็นกลิ่นที่สดชื่นกว่า เบาสบายกว่าเดิม ที่บรรยายไว้ว่าเป็นความหอมหยดน้ำค้างของดอกไม้ที่เก็บใหม่ๆ อย่างนั้นเลย โดยยังคงเน้นกลิ่นของดอกไม้สีขาวเป็นหลักเหมือนเดิม ที่มีโน๊ตกลิ่นของ Apple, Neroli, Papaya Flower, Peach, Water Lily, Narcissus, Amarylis, Musk, Chashmere, Sandalwoof มาในขวดแก้วขุ่นบางใส โดยที่ฝาขวดยังคงเป็นดอกกุหลาบสีขาวครีม แสดงถึงความสดชื่นยามเช้าในความเข้มข้นแบบ Eau de Toilette สร้างความต่างจากตัวดั้งเดิมที่เป็นขวดแก้วใส ฝาดอกกุหลาบสีขาวครีม

กลิ่นเปิดมากลิ่นใสๆ แบบผลไม้พวกแอ๊ปเปิ้ลผสมกับกลิ่นแบบน้ำหอมดอกส้มที่ใสสดชื่นแต่ไม่คมบาดจมูก เป็นกลิ่นเปิดที่โปร่งสบายสดชื่น แล้วสักพักในกลิ่นจะเริ่มมีกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ที่ให้กลิ่นเขียวใส นวลๆ เริ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ตามเวลาที่กลิ่นอยู่บนผิว กลิ่นดอกไม้ที่ว่านั้นมันให้กลิ่นเหมือนกลิ่นดอกบัวตามโน้ตเลย ถ้าใครเคยได้กลิ่นดอกบัวในบ่อน้ำหน้าบ้านละก็ กลิ่นที่หวิวๆ หอมใส แต่ก็นุ่มหืนอับๆ ในเนื้อกลิ่น กลิ่นนี้ค่อนข้างชัดและอยู่ในเนื้อกลิ่นไปจนจบกลิ่นเลย ระหว่างนั้นจะรู้สึกถึงกลิ่นเขียวๆ หอมๆ ลอยคลอมาตามกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสะอาดตลอดเวลา ช่วงหลังของกลิ่นนั้นยังคงให้กลิ่นดอกไม้ติดเขียวอยู่แต่จะออกไปแนวกลิ่นนวลสะอาดแนวกลิ่นมักส์มากขึ้น กับไม้หอมเบาๆ

จะว่าอะไรไหมถ้าอยากบอกว่ามันก็คือกลิ่นเดิมนั่นแหละ แค่เนื้อกลิ่นมันให้ความรู้สึกเบา โปร่งสบายกว่า ไม่หวานหนักมากเท่ากลิ่นเดิม ถ้าไม่เห็นขวดก็ไม่รู้ว่าเป็นคนละรุ่นกัน แต่ก็จะว่ามันไม่ได้เพราะกลิ่นนี้ถูกทำให้เป็นรุ่น EDT จุดประสงค์ที่จะให้กลิ่นมันเบาขึ้น สดชื่นขึ้น โปร่งใสกว่าเดิม เหมาะกับฤดูร้อนแบบนี้ละ ด้วยความที่กลิ่นมันเบาขึ้นความชัด และความทนของกลิ่นก็ลดลงเป็นธรรมดา เอาเป็นว่าผ่านไปสักชั่วโมงมันก็กลายเป็นกลิ่นหอมบางๆ ติดตัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจางจนไม่ได้กลิ่นนะ ยังได้กลิ่นตลอดแค่กลิ่นไม่แรงเหมือนช่วงต้นเท่านั้น

ส่วนตัวชอบอยู่แล้วเพราะใน Dolce รุ่นเดิมก็ชอบกลิ่นมันอยู่แล้ว ยิ่งทำให้โปร่งเบาขึ้นมันก็ยิ่งใช้ง่ายขึ้น ไม่ติดหวานนัวๆ มากเท่าไหร่ แต่เป็นหวานบางน่าหันมามองแบบกลิ่นมีเสน่ห์อะไรแบบนั้น ให้ความสดชื่นที่ได้กลิ่นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่น่าเสียดายที่เลิกผลิตไป เพราะกลิ่นไม่แตกต่างจากกลิ่นเดิมที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบัน ใช้แทนกันได้อยู่แล้ว

Dolce & Gabbana Dolce Floral Drops EDT 75ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce & Gabbana Dolce Rose EDT

Dolce & Gabbana Dolce Rose เป็นกลิ่นที่เพิ่งออกมาเมื่อปี 2021 น่าจะเป็นกลิ่นล่าสุดในตระกูล Dolce ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าเคยมีรุ่นดอกกุหลาบสีแดงออกมาแล้วในรุ่น Rosa Excelsa ที่ไม่รูว่าเลิกผลิตไปหรือยังถึงมีรุ่นนี้ออกมาให้สับสนเพิ่ม โดยที่ยังคงถูกวางไว้เป็นน้ำหอมแนว Floral Fruity อยู่เหมือนเดิม มีโน้ตกลิ่น Green Apple, Mandarin, Redcurrants, Peach, Magnolia, Rose, Musks, Sandalwood

กลิ่นเปิดมาหอมอมเปรี้ยวนุ่มๆ คล้ายกลิ่นลูกอมรสสละ กลิ่นหอมเนียนใส ของกุหลาบแทรกมาบางๆ ในช่วงต้น พอกลิ่นผ่านไปสักพักจะได้กลิ่นกุหลาบหวานอมเปรี้ยวบางๆ เด่นชัดขึ้นมา กลิ่นพื้นหลังที่ทำให้รู้สึกหวานนุ่ม หอมครีมเหมือนลูกอมที่คลอมาตั้งแต่กลิ่นเปิดมันคล้ายมะพร้าว แต่มันก็คล้ายผลไม้อะไรสักอย่างหอม “มันๆ” “หวานฉ่ำๆ” กลิ่นนี้ละทำให้มันไม่สดใส หรือกลิ่นใสแจ๋วจนเป็นน้ำหอมวัยรุ่นเกินไป

Dolce กลิ่นกุหลาบ รุ่นล่าสุดนี้สรุปประมาณว่า เป็นกลิ่นกุหลาบอมเปรี้ยวดูสนุก ที่มาพร้อมกับความหวานครีมมี่แบบลูกอมประมาณนั้น กลิ่นโปร่งใส สดใส เหมาะกับวันอากาศดี แจ่มใส เป็นกลิ่นที่หอมดีเลยละ แต่ถ้าเอาประสบการณ์เท่าที่ผ่านมากลิ่นนี้ก็ดูธรรมดามาก แว๊บแรกเกือบคิดว่ามันเป็นกลิ่นน้ำหอม 12 Plus เลย แนวกลิ่นมันได้ และคล้ายมาก เพียงแค่ Dolce มันมีความฉ่ำนุ่มของกลิ่น และความติดทนนานนั้นมากกว่า แต่ก็อาจจะคิดไปเองละมั้งนะ

Dolce & Gabbana Dolce Rose EDT 50ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce&Gabbana Dolce EDP

.

Dolce EDT ออกมาในปี 2014 เป็นกลิ่นแนว Floral ที่เป็นกลิ่นแรกในไลน์ Dolce ให้กลิ่นที่มอบความเป็นหญิงสาวด้วยกลิ่นสดชื่นที่มีความละเอียดอ่อน สร้างความเป็นอมตะดุจงานศิลปะ Dolce คือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับผู้ที่ได้สัมผัส ด้วยโน้ตกลิ่นของ Neroli leaves, Papaya Flower, Water Lily, White Amarylis, Musks, Cashmeran

กลิ่นหอมดอกไม้เย็นๆ แบบกลิ่นดอกไม้สีขาวเน้นๆ เลย ให้กลิ่นหวานฉ่ำเย็น มีความเขียวใสบางๆ แบบกลิ่นดอกส้มหรือ Neroli คลอมากลับกลิ่นหอมแหลมของดอกไม้บางชนิดที่มีความเย็น หอมหลอนๆ ที่่ให้กลิ่นหวานแหลมพร้อมกับกลิ่นหอมมนุ่มครีมมี่เหมือนผ้ากำมะหยี่นุ่มรองไว้ในกลิ่นพื้นหลัง กลิ่นมันดูสดใส สดชื่นดีมากๆ

เป็นกลิ่นแนวดอกไม้ขาวแน่นใช้ได้กลิ่นหนึงเลย ให้ความใส ความหวานแหลมของดอกไม้ พื้นหลังติดกลิ่นเขียวสว่างใส ที่ให้กลิ่นดูเย็นสบาย โปร่งสะอาด สดชื่น ช่วงหลังให้กลิ่นนุ่มๆ หวานๆ ดูเป็นกลิ่นที่หอมปลอดภัย ใช้งานได้ทุกวันไม่มีอะไรพิเศษ เหมาะเป็นกลิ่นสำหรับคนที่ชอบกลิ่นแนวดอกไม้สะอาดๆ กลิ่นดูชัดเจนใช้เป็นกลิ่นประจำตัวน่าจะชอบกลิ่นนี้เพราะกลิ่นเวลาผสมกับกลิ่นตัวแล้วมันให้เอกลักษณ์เฉพาะตัวไปตามแต่ละคน กลิ่นนี้ก็เหมือนกันกลิ่นมันต่างกันไปตามแต่ละคน และแตกต่างตามจุดที่ฉีดด้วยแปลกดี

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce&Gabbana The One Mysterious Night EDP

.

Dolce & Gabbana The One Mysterious Night ออกมาในปี 2018 ตัวที่ 2 ในไลน์ Exclusive Edition สำหรับกลิ่นโทน The Middle East สร้างสรรรค์ด้วยการรวมจิตวิญญาณจาก Arabian กับ สัมผัสจาก Italian ไว้ด้วยกัน จากโน๊ตกลิ่น Saffron, Grapefruit, Rose, Oud, Clary sage, Amber, Precious Woods, Labdanum, Tonka Bean

กลิ่นเปิดแบบไม้หอมเข้ม มีความเขียวแห้ง ดาร์ก หวานแบบกลิ่นเครื่องเทศฉ่ำคลอมาตั้งแต่กลิ่นเปิด เมื่อผ่านมาสักพักจะมีกลิ่นเอกลักษณ์ของไม้กฤษณาลอยชัดขึ้นมาเรื่อยๆ มีกลิ่นเปรี้ยวอมหวานตุ่นๆ แบบกลิ่นกุหลาบแห้งคลอมาพร้อมกัน เสริมให้กลิ่นไม้กฤษณาหอมนุ่มมากขึ้น กลิ่นช่วงกลางจะมีความโดดเด่นจากไม้กฤษณาและกุหลาบให้กลิ่นนวลแห้งนิดๆ รวมกันเป็นกลิ่นไม้เข้มๆ อมเปรี้ยวหน่อยๆ หอมมีมิติดีโดยคงกลิ่นแบบนี้ไปจนจบกลิ่น

เป็น The One ที่มุ่งสู่ตะวันออกกลางแบบจริงจัง ด้วยกลิ่นไม้กฤษณาโปร่งนุ่มกำลังดีไม่หนักเกินไป กับกลิ่นกุหลาบอมเปรี้ยวนิดๆ เข้ากันดีมาก เป็นชุดกลิ่นยอดนิยมใช้ 2 โน้ตกลิ่นนี้ร่วมกัน คิดว่ามันทำให้กลิ่นดูอ่อนนุ่มลง ไม่แข็งจนเกินไปและหอมมากด้วย ไม่รู้สึกถึง The One เดิมๆ ในกลิ่นสักเท่าไหร่ด้วยกลิ่นไม้กฤษณาที่โดดเด่น และโน้ตกลิ่นอื่นๆ ที่แตกต่างกันมาก แต่ยังคงทิ้งความเป็น The One ไว้นิดหน่อยด้วยกลิ่นครีมนุ่ม และเครื่องเทศซ่านวลในช่วงท้ายบางๆ

กลิ่นนี้ให้อารมณ์หนุ่มตะวันออกกลางตาสีอ่อนอย่างนั้นเลย ถ้าตามความเป็นจริงก็เป็นกลิ่นที่แรง หรือกลิ่นเข้มก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ได้แรงจนเหม็น กลิ่นนุ่ม สดชื่นพอได้ ทำให้กลิ่นนี้คิดว่าใช้ในอากาศร้อนได้นะ กลิ่นไม่ทึบขนาดนั้น กลิ่นหรู เป็นทางการ ไม่เท่ห์แต่น่าควง เหมาะกับใช้ไปงานพิเศษๆ หรือทานข้าวเย็นนอกบ้าน

Dolce & Gabbana The One Mysterious Night EDP 100ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce & Gabbana The One Royal Night EDP

.

Dolce & Gabbana The One Royal Night ออกมาในปี 2015 เป็นกลิ่นพิเศษในไลน์ Exclusive Edition ที่มีวางจำหน่ายบางสถานที่ เป็นกลิ่นเล่าถึงความมีเสน่ห์ของ Meddle East ด้วยโน๊ตกลิ่นของ Cardamom, Basil, African Wild Pear Wood, Nutmeg, Amber, Cedarwood, Sandalwood, Labdanum คิดว่าเป็นกลิ่น The One แนวใหม่ที่ต้องออกแนวทะเลทรายตะวันออกกลาง ด้วยตัวอักษรอารบิกที่หน้าขวด กลิ่นนี้หาซื้อยากเหมือนกัน จะบังเอิญเจอนานๆ ทีแต่ก็กดไม่ทัน จนได้เจอขวดนี้เป็นขวดรุ่น Collector Edition ที่มีลวดลายสีทองด้านหลังขวดดูสวยแปลกตา

กลิ่นเปิดให้อารมณ์หวาน ครีมใสๆ แนว Cardamom มีกลิ่นเขียวชื้นคลอทำให้กลิ่นดูแปลกไป กลิ่นหอมฉ่ำที่ทำให้นึกถึงสมุนไพรสด มีกลิ่นเครื่องเทศชัดๆ ดูแนวตะวันออกดี ช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มมีความหอมแบบไม้หอมนุ่มอบอุ่น แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนกลิ่นหนังหน่อยๆ พร้อมความนวลซ่าแบบ Amber และกลิ่นดอกไม้หวานแปร่งลอยเป็นพื้นหลังบางๆ

กลิ่นยังคงคุมโทนของ The One กลิ่นอื่นๆ อยู่ มีความคล้ายคลึงกันอยู่มากเพียงแต่จะมีกลิ่นบางกลิ่นมาทำให้มีความแปลกไป กลิ่นออกไปทางแนวตะวันออกมากขึ้น กลิ่นฉ่ำมีมิติกว่ารุ่นปกติ กลิ่นยังคงนุ่ม แต่ดูลึกขึ้น มีกลิ่นเด่นแนวเครื่องเทศฟุ้งซ่า กับไม้หอมที่มี Labdanum กลิ่นดอกไม้แปลกๆ แทรกเป็นพื้นหลังให้ความพิเศษแบบที่รุ่น EDT EDP ไม่มีในกลิ่น กลิ่นเข้มแต่ไม่หนัก หอมนุ่มฉ่ำๆ กลิ่นนี้ดูมีอายุกว่าไม่ได้ดูมีอายุแบบแก่นะ แต่น่าสนใจตรงที่มันให้ความรู้สึกดึงดูดมาก ดูเท่ลึกลับขึ้นไปอีกระดับ

Dolce & Gabbana The One Royal Night EDP 100ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce&Gabbana The One EDT

.

Dolce & Gabbana The One EDT ตัวดั้งเดิมออกมาในปี 2008 มาในแนวกลิ่น Oriental Spicy ของผู้ชายที่สมาร์ท หรูหรา มีแรงดึงดูด และทันสมัย ด้วยโน้ตกลิ่น Grapefruit, Coriander, Basil, Ginger, Cardamom, Orange Blossom, Tobacco, Amber, Cedarwood เหมือนกับ EDP ที่กลิ่นน่าจะไม่แตกต่างกันมากคิดว่าอย่างนั้น

กลิ่นเปิดยังคงสดชื่นซีตัส เย็นซ่าแนวกลิ่นเครื่องเทศอยู่ มีกลิ่นเผ็ดๆ คมๆ ชัดรู้สึกได้มากกว่ารุ่น EDP พร้อมกลิ่นหอมครีมมันอมหวานจาก Cardamom อยู่แต่เป็นความครีมที่โปร่งสบาย ไม่นุ่มฉ่ำชัดเจนเหมือน EDP รวมไปถึงกลิ่นใบยาสูบ กับ Amber ที่ยังคงชัดเจนให้โทนกลิ่นเดียวกัน แค่รู้สึกว่ามันจะมีความเบากว่า โปร่งใส สบายกว่ามาก

ถอยกลับไปลองกลิ่นรุ่น EDT ตัวดั้งเดิมก็ทำให้รู้ว่ากลิ่นต้นฉบับนั้นมันเป็นแบบนี้นี่เอง คือเหมือน EDP ซะ 80% จริงๆ ต้องบอกว่า EDP เหมือน EDT ต่างหาก แต่มาในเวอร์ชั่นเบาสบาย ที่ยังคงความหล่อเท่ของกลิ่นอยู่ กลิ่นเย็น เครื่องเทศซ่าๆ เผ็ดๆ ให้ความสดชื่นกับกลิ่นช่วงเปิด มีความหอมมัน ติดหวานนิดๆ กำลังดี จนไปถึงกลิ่นหอมนุ่มเข้ม ในช่วงกลางของกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่รุ่น EDT กลิ่นไม่ออกแนวอบอุ่นสักเท่าไหร่ ก็ยังมีนิดๆ แต่ออกไปทางกลิ่นนุ่มโทนเย็นตามความรู้สึกนะ ถ้าให้เทียบว่า EDP เป็นหนุ่มเสื้อเชิตแขนยาวสีพื้น EDT ก็เสื้อเชิตแขนสั้นมีลายนิดๆ ละ ดูสบาย ง่ายๆ แต่ก็เท่ มีเสน่ห์เหมือนกัน

ถ้าถามว่าชอบกลิ่นไหนมากกว่า ก็คงจะเป็น EDP ด้วยความที่กลิ่นมันเข้มกว่า นุ่มอบอุ่นอย่างที่ชอบ เนื้อกลิ่นแน่นติดทนไม่ต้องห่วงเติมระหว่างวัน ส่วน EDT ก็ดีอยู่นะเหมาะกับวันสบายๆ อากาศร้อนหน่อยๆ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบกลิ่นแน่นๆ แรงๆ เลยไปทาง EDP มากกว่า แต่ EDP Intense นี่ไม่ไหวนะไม่แน่น ไม่แรงโดนใจสักเท่าไหร่

Dolce & Gabbana The One EDT 100ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Dolce&Gabbana The One EDP

.

Dolce & Gabbana The One EDP เปิดตัวมาในปี 2015 เปิดตัวต่อยอดจากรุ่น EDT กลิ่นที่นิยมกันมาก เพิ่มความมีมิติของกลิ่นให้ลึกขึ้น เพิ่มความดึงดูด เพิ่มการแสงความเป็นตัวเองมากขึ้นด้วยกลิ่นอันทรงพลัง จากโน๊ตกลิ่น Grapefruit, Coriander, Basil, Ginger, Cardamom, Orange Blossom, Tobacco, Amber, Cedarwood ให้ความหอมเครื่องเทศทางตะวันออกที่มีเอกลักษณ์ ให้ความทรงพลังอย่างบุรุษ และมอบความน่าหลงใหลด้วยความนุ่มละมุนอบอุ่นน่าประทับใจ

กลิ่นเปิดใส คมของผลไม้พวกซีตรัสที่แทรกกลิ่นเครื่องเทศหอมซ่า สักพักไม่นานกลิ่นเริ่มสร้างความนวลเนียนของกลิ่นตามสไตล์กลิ่น Cardamom ที่ให้ความหวานสว่างใส มีความสดชื่น โดยช่วงนี้กลิ่นใบยาสูบหวานๆ เริ่มแทรกขึ้นมาอย่างโดดเด่น พร้อมกับกลิ่นนวลซ่าเครื่องเทศอย่างกลิ่น Amber คลอมาพร้อมๆ กัน กับความโปร่งชัดของไม้หอมฉ่ำที่เริ่มชัดขึ้นในช่วงหลังๆ ของกลิ่น

กลิ่นหอมเลยละ กลิ่นสำหรับผู้ชายที่ผู้หญิงก็ชอบเอาไปใช้กัน เพราะกลิ่นไม่แมนเกินไปออกไปทางผู้ชายมีเสน่ห์มากกว่า ให้ทั้งความหวาน ความเข้มเท่ของกลิ่นแบบมีอะไรอะไร ปิดด้วยกลิ่นนวลๆ อบอุ่น โดยเฉพาะช่วงหลังกลิ่นจะหอมมาก มีความเป็นใบยาสูบ และไม้หอมอมหวานแบบน่าหลง กับกลิ่นนวลฟุ้งๆ ติดตัวชัดไปตลอดทั้งวัน กลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นน้ำหอมแนวใบยาสูบหวาน แนวสว่างใส มีความเข้มพอดีๆ ให้ทั้งความสดชื่น ความอบอุ่น เป็นกลิ่นที่ใครๆ ก็ต้องชอบถ้าได้ลองใช้  กลิ่นมีเสน่ห์จริง

พอกลับมาลองรุ่น EDP หลังจากลองรุ่น Intense ไปก่อนหน้ายิ่งแน่ใจไปอีกว่ากลิ่นไปคนละทางกันแน่นอน โดยที่ร่นใหม่นั้นมันขาดอะไรสักอย่างที่มีในรุ่น EDP และเป็นสิ่งที่ทำให้ถูกใจ คิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นใบยาสูบที่มีกลิ่นไม่เหมือนกันอย่างแรก อย่างอื่นก็ไม่แน่ใจแต่มันต่างกันพอดู ไม่ใช่ว่า EDP จะเป็นกลิ่นที่ดีกว่าอะไรนะ เพียงแค่ว่ามันมีเสน่ห์แบบที่ไม่เหมือนใคร ถึงจะดูเป็นกลิ่นทั่วๆ ไปแล้วในสมัยนี้ ต้องให้ลองใช้ก่อนสักพักจะรู้สึกเองว่ามันเป็นกลิ่นที่ดี และไม่เหมือนใครนะ

Dolce & Gabbana The One EDP 100ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Collection: Dolce and Gabbana The One for Men

สวัสดีบล็อก! วันนี้จะมาเล่าถึงน้ำหอมของ Dolce & Gabbana The One สำหรับผู้ชาย ทุกคนคงรู้จักกันดีสำหรับ The One EDP กลิ่นที่โดงดั่งและได้รับความนิยมตั้งแต่เปิดตัวมาเมื่อปี 2015 ต่อยอดจากรุ่น EDT [2008] ที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ที่เปิดตัวมา โดยที่รุ่น EDP ออกมาแล้วให้กลิ่นเข้ม ลึก ติดทนนานเรียกว่าถูกใจแฟนๆ มากขึ้นไปอีกจนทำให้เป็นน้ำหอมกลิ่นที่โด่งดัง และเป็นที่พูดถึงจากนักรีวิวน้ำหอมตลอดมา

ซึ่งบล็อกก็เคยลองกลิ่นมากนานมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ซื้อขวดเต็มมาใช้สักทีเพราะตอนนั้นรู้สึกกลิ่นมันฉุนไปหน่อย แต่ช่วงหลังๆ ได้กลับไปเปิดใจลองกลิ่นอีกครั้งกลับรู้สึกว่ามันหอม เป็นกลิ่นที่มีสเน่ห์มากกลิ่นหนึ่งเลย จนตัดสินใจซื้อขวดเต็มมาเมื่อเดือนก่อน แล้วยังไงละขวดเดียวเหมือนจะไม่พอเพราะรู้มาตลอดว่ามันมีกลิ่นแยกออกมาจาก The One อีกหลายรุ่น ก็เลยหาเก็บมาจนได้มา 6 รุ่นแล้ว โดยแต่ละกลิ่นก็ยังเป็นกลิ่นที่หาได้ในปัจจุบัน และก็มีอีกหลายรุ่นที่หาไม่ได้แล้ว นอกจากจะไปหาแบบมือสองแทนซึ่งเอาไว้เป็นตัวเลือกในอนาคตละกัน

กลิ่นที่มันทำให้รู้สึกชอบ ถูกใจ ก็คงจะเป็นเพราะกลิ่นหอมฉ่ำลึกของใบยาสูบหรือ Tobacco กลิ่นหอมมันของถั่ว Cardamom ความหอมนุ่มอบอุ่นของ Amber ทำให้มันเป็นน้ำหอมแนว Spicy กลิ่นเครื่องเทศที่หรู อบอุ่น ดูมีสไตล์ พร้อมกับการกระจายตัวที่ดีมาก และความติดทนยาวนานของกลิ่น ที่ทำให้รู้สึกชอบน้ำหอมในไลน์ The One มาก

แต่สิ่งที่ชอบใน The One ก็มีการเปลี่ยนแปลงในรุ่นล่าสุด The One Eau de Parfum Intense ที่น่าจะเป็น The One ที่กลิ่นเข้มข้น ชัดเจนขึ้น แต่เปล่าเลย ลองครั้งแรกแล้วรู้สึกแปลกๆ ว่ามันไม่เหมือน The One เดิมสักเท่าไหร่ มันเหมือนเหมือนเป็นกลิ่นใหม่ซะมากกว่า การลองครั้งแรกนั้นไม่รู้สึกถึงกลิ่นใบยาสูบเลย แต่รู้สึกถึงกลิ่นหนังคมๆ ซะมากกว่า กลิ่นยังคงหวาน มีความหอมมันที่ต่างไปจาก The One เดิมมาก แต่กลิ่นก็ยังคงโทนเครื่องเทศ ไม้หอมนุ่มๆ อยู่ และก็หอมไปอีกแบบด้วย เสียอย่างเดียวกลิ่นติดไม่ทนเท่าไหร่ อันนี้สำหรับการลองใช้งานครั้งแรกนะ เดี๋ยวขอลองอีกสักพักจะเอามาลงเล่าในบล็อกให้อ่านกันอีกที

6 กลิ่นที่หามาได้แล้วก็คือ The One EDT [2008] รุ่นดั้งเดิม The One EDP[2015] รุ่นยอดนิยมในปัจจุบัน The One Eau de Parfum Intense [2020] รุ่นใหม่ล่าสุด The One Grey [2018] กลิ่นอมแนวสปอร์ตสดชื่น สบายๆ The One Royal Night Collector Edition [2015] รุ่นพิเศษที่ขวดมีลายสีทองสวยงาม ที่ให้กลิ่นเครื่องเทศโดดเด่น แต่ยังคงให้อารมณ์เดิมๆ ของ The One ส่วนขวดสุดท้าย The One Mysterious Night [2018] รุ่นพิเศษ ที่ให้กลิ่น Oud หรือไม้กฤษณา กับกุหลาบ เป็นกลิ่นที่แตกต่างโดยให้อารมณ์น้ำหอมทางตะวันออกกลาง

แอบเห็นมาว่ากลิ่น Exclusive Edition กลิ่นใหม่ที่ขายโซนประเทศตะวันออกกลางนั้นออกมาแล้วด้วย ชื่อว่า The One Luminous Night ก็ประมาณว่า กลางคืนที่สว่างไสว หรือ แสงสว่างตอนกลางคืน ละมั้ง ออกมาปีนี้ 2021 ขวดสีฟ้าพร้อมตัวอักษรสวยๆ บนขวดสวยมาก คงต้องรอสักพักก่อนถึงจะมีหลุดมาขายให้เราเก็บกันเหมือนรุ่นก่อนหน้า

โดย The One Luminous Night นั้นมีโน๊ตของ Dates หรือ อินทผาลัม เข้ามาเป็นกลิ่นกลาง อยากรู้จังว่ากลิ่นจะออกมาเป็นแบบไหน

.

ที่มา/อ่านบทความเกี่ยวกับ The One Luminous Night เพิ่มเติมที่ https://www.fragrantica.com/news/Dolce-Gabbana-The-One-Luminous-Night-14633.html

Perfume Blog: สั่งน้ำหอมจาก CENTRAL Online Nina Ricci NINA Rouge + Dolce & Gabbana The One Collection

สวัสดีบล็อก! วันนี้จะมาเล่าเรื่องลองสั่งน้ำหอมจากเว็บไซต์ CENTRAL Online พอดีกำลังหาน้ำหอมของ Nina Ricci ที่เป็นขวดรูปลูกแอ๊ปเปิ้ล สีแดง รุ่น Nina ROUGE ที่ออกมาปี 2019 พยายามค้น Google หาแล้วเจอแค่ที่ในเว็บ CENTRAL Online และก็มีแค่ขนาด 50ml ด้วย เพราะที่อย่างรู้ๆ กันอยู่ว่าบล็อกนี้ซื้อน้ำหอมเพราะรูปร่างความสวยของขวดเท่านั้น ด้วยความที่ไปเห็นโฆษณาน้ำหอมของ Nina Ricci ขวดแอ๊ปเปิ้ลสีแดงสด มันกลมๆ สีแดงๆ สวยมาก เลยไปหาว่ามันคือรุ่นอะไรจนไปเจอและมันก็เป็นน้ำหอมที่เพิ่งออกเมื่อปี 2019 นี่เอง และก็ไม่มีเว็บขายของดีๆ ที่ไหนขายรุ่นนี้เลย เจอแค่ที่ CENTRAL Online เลยลองกดสั่งซื้อไป

.

และพัสดุก็ส่งมาถึงวันนนี้ใช้เวลาประมาณ 2 วันในการสั่งจนถึงปลายทาง ถือว่าเร็วทีเดียวละ มาในกล่องที่มีโลโก้ CENTRAL Online เด่นเต็มกล่อง ส่งผ่าน Flash Express กล่องพัสดุสมบูรณ์ดีไม่บุบ หรือเสียหายอะไร เปิดกล่องมาก็เจอกล่องน้ำหอมห่อในกระดาษกันกระแทกที่แน่นหนาพอดู ไม่รอช้าก็แกะดูขวดน้ำหอมทันทีเพราะรู้สึกว่าในกล่องพัสดุมีขวดน้ำหอมกลิ้งไปมาในกล่องรุนแรงให้รู้สึกได้ รีบแกะออกมาดูว่าขวดเสียหายหรือไม่ และก็เป็นความโชคดีที่ขวดน้ำหอม กล่องน้ำหอมยังอยู่สภาพดีไม่มีอะไรเสียหาย

ตัวขวดน้ำหอมเป็นรูปผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงเงางาม ที่มีรอยกัดสีขาวเป็นจุดเด่น รอบคอขวดมีพลาสติกรูปร่างใบเลี้ยงสีแดง มีเชือกสีขาวแดงเหมือนเชือกห่อพัสดุพันรอบคอขวดพร้อมกับตรา NR ในส่วนปลายเชือก ขวดขนาด 50ml ขนาดเล็กสวยกำลังดี น่ารักมาก ไม่เสียดายที่กดสั่งไปเลยจริงๆ  แต่มีข้อสังเกตที่สีแดงในความเป็นจริงสีมันออกแดงสดใส ไม่แดงเข้มเหมือนในรูปเท่าไหร่แต่ก็พอเข้าใจได้

ลองกลิ่นดูแล้วมันทำให้รู้สึกถึงอะไรหลายๆ อย่างจริงๆ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังตอนบล็อกลองกลิ่น แต่บอกได้ตอนนี้ว่ากลิ่นมันออกแนวหอมหวาน ติดเปรี้ยวนิดๆ ทำให้นึกถึงน้ำหอมของผู้หญิงวัยรุ่นๆ เด็กๆ เลยทีเดียว

.

มาถึงอีกยี่ห้อ Dolce & Gabbana The One for MEN น้ำหอม The One สำหรับผู้ชาย ที่ไปหารุ่นพิเศษมาได้ 2 ขวด คือ The One Royal Night [2015] ที่ได้มาในรุ่น Collector Edition กับ The One Mysterious Night [2018] ใครนึกไม่ออกมันก็คือ The One ที่มีตัวอักษรภาษาอาหรับบนขวดนั่นไงละ สำหรับบล็อกแล้วพอมีตัวอักษรภาษาอาหรับหรืออะไรแบบนี้บนขวดแล้วมันดูสวย ดูแปลกน่าค้นหาดีมากๆ เลยหามาเก็บสักหน่อยขวด The One Royal Night ได้มาจากเว็บขายของจากร้านขายน้ำหอมอาหรับ ที่ราคาไม่แพงเท่าไหร่ และ The One Mysterious Night ได้มามือสองแบบกล่อง Tester ในเว็บขายของมือสองที่ราคาเหมือนซื้อมือหนึ่งซะงั้น แต่ก็โชคดีที่หาได้ทั้ง 2 กลิ่นเพราะหายากมากจริงๆ

กลิ่นที่ได้ลองของทั้ง 2 รุ่นนั้นมันหอมหรูมาก เป็นความหอมที่ยังคงวนเวียนแนว The One ดั้งเดิม เพิ่มที่มันให้ความหอมหรูหราแนวตะวันออกกลาง มันลึกลับ และมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูกเลย เดี๋ยวจะพยายามเล่าให้เข้าใจมากขึ้นตอนลองกลิ่นลงบล็อกทีที วันนี้แวะมาเล่าเท่านี้ก่อน เอาไว้เจอกันใหม่

 

Perfume Blog: Dolce & Gabbana The One GREY EDT Intense

The One GREY เป็นกลิ่นที่ค่อนข้างใหม่ในตระกูล The One (แต่ปีนี้มีตัว The One ใหม่ออกมาแล้วนะขวดสีดำ) เคยได้แบบหลอดขนาดทดลองมาใช้แล้วรู้สึกกลิ่นหอมดีแต่ก็เฉยๆ จนช่วงนี้อากาศมันร้อนอยากได้น้ำหอมกลิ่นใสๆ สดชื่นมาใช้บ้างเลยกลับไปนึกถึงกลิ่นนี้และอีกอย่างขวดสวยดีด้วย ถือโอกาสหยิบมาลองใช้งานดู

กลิ่นเปิดมาหอมเฟรช สดชื่น กลิ่นคม ใสแบบกลิ่นสดชื่นเหมือนกลิ่นผลไม้พวกซีตรัส ตามด้วยความหอมหวานเจื่อนๆ คล้ายกลิ่นพลาสติก แต่ก็มีความเขียวเข้ามาด้วยเล็กๆ พร้อมความหอมนุ่มๆ คล้ายกลิ่นวนิลาแต่ไม่เชิงเป็นกลิ่นวนิลา ตลอดช่วงเวลากลิ่นจะเป็นกลิ่นเครื่องเทศแบบกลิ่นกานพลูหอมเย็นฟุ้งๆ ตลอด มีกลิ่นใบยาสูบที่เป็นกลิ่นเด่นของตระกูล The One อยู่ แต่ไม่เด่นเท่ากลิ่นหวานเจือนๆ นั้น กลิ่นรวมๆ ยังคงเป็นกลิ่นที่ให้ความคุ้นเคย ได้กลิ่นแล้วบอกได้เลยว่าเป็นกลิ่นตระกูลเดอะวันแน่นอน กลิ่นนี้กลิ่นเด่นจะเป็นกลิ่นแนวเครื่องเทศ-ไม้หอมซะมากกว่ากลิ่นเปิดออกแนวสดใสแต่เปลี่ยนไปเป็นกลิ่นนุ่มสุขุมไปเลย เป็นกลิ่นที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังดูไม่แก่ และเป็นกลิ่นคนวัยทำงาน หอมดี

เป็นกลิ่นหอมที่ให้ความสดชื่น กลิ่นหอมคมๆ แนววัยรุ่น-วัยทำงาน ไม่นุ่มมาก ไม่หรูเหมือน The One ตัวแรกๆ กลิ่นกระจายตัวค่อนข้างดีเลยทีเดียวกลิ่นฟุ้งรอบๆ ตัวเราลมพัดมาทีไรก็รู้สึกถึงกลิ่นตลอด ความติดทนนั้นไม่แน่ใจมันติดทนดีเป็นบางวัน จากที่ลองมาอาทิตย์กว่าๆ กลิ่นจะอยู่ถึงแค่ช่วงเที่ยง – บ่ายหลังจากนั้นกลิ่นก็จางหายไปหมด แต่มันก็ทำให้สามารถฉีดกลิ่นอื่นๆ ก่อนกลับบ้านได้ถือเป็นข้อดีมั้ง

สรุป The One GREY เป็นกลิ่นที่หอมใช้ได้อยู่ให้อารมณ์นักศึกษา-คนทำงานรุ่นๆ และแอบแนวสปอร์ทหน่อยๆ ด้วย เหมาะกับใช้ไปทำงาน ไปงานช่วงกลางวัน เพราะกลิ่นให้ความสดชื่น กลิ่นค่อนข้างเบา ดูสบายๆ ไม่เป็นทางการ แต่ใช้ได้หลายโอกาสเลยละ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Dolce&Gabbana The One Desire EDP

Dolce&Gabbana The One Desire เปิดตัวในปี 2013 เป็นกลิ่นที่สานต่อจากความสำเร็จของน้ำหอม The One ตัวแรกที่เปิดตัวปี 2006 และมีอีกหลายคอลเล็คชั่นตามมา และ The One Desire ก็เป็นอีกกลิ่นที่ตามรอย The One นั้น โน๊ตกลิ่นบรรยายไว้ว่ากลิ่นเปิดด้วยซีตรัสกับมะกรูด ส้มแมนดาริน ลิ้นจี่ ดอกลิลลี่ออฟเดอะวัลเลย์ กลิ่นกลางด้วยดอกซ่อนกลิ่น ผสมกับกลิ่นฐานจากคาราเมล วนิลา ไม้จันทร์หอม และมักส์ บรรยายไว้ดีเลย กลิ่น The One ตัวเดิมเป็นกลิ่นที่ชอบและเคยใช้ทุกวันมาช่วงนึงเลยมาลองดูกลิ่นนี้จะหอมเท่ารุ่นพี่ไหม

กลิ่นเปิดออกมาแบบกลิ่นลิปสติกที่มีความคล้ายพลาสติกนิดๆ กลิ่นอมหวาน ไม่หวานจ๋ามีอมเปรี้ยวนิดทำให้กลิ่นดูกลม หลังจากกลิ่นเริ่มแห้งไปสักพักกลายเป็นกลิ่นออกแนวฝุ่นแห้งๆ กระจายตัวออกมาเหมือนกลิ่นไม้หอมสักชนิด แต่กลิ่นก็ยังคงฉ่ำด้วยกลิ่นหอมหวานนั้นอยู่ ที่ให้ความคล้ายกลิ่นวนิลาขมๆ กลิ่นโดยรวมให้ความรู้สึกมีเสน่ห์ น่าค้นหา ดูลึกลับ เข้ากับโทนสีของขวด สีดำตัดทองจริงๆ กลิ่นยังคงมีความเป็น The One รุ่นแรกอยู่มากเพียงแต่ Desire ไม่หวานฉ่ำเท่า แต่เป็นความหวานที่ดำดิ่งลงในความมืด ให้รู้สึกแปลกใหม่แต่ก็มีเอกลักษณ์ตามสไตล์ The One เป็นกลิ่นแรกที่คิดถึงช่วงเวลากลางคืนที่เหมาะกับกลิ่นนนี้เลย

  • กลิ่นหอมไหม? หอม แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมันออกหวานฉุนไปนิดในช่วงกลางๆ ของกลิ่นรู้สึกไม่สบายจมูก
  • กลิ่นกระจายตัวดีไหม? กระจายตัวดีมาก ฉีดครั้งแรกก็ฟุ้งจนต้องยั้งมือไม่ฉีดเยอะ และฟุ้งตลอดทั้งวันด้วย
  • กลิ่นติดทนไหม? ทนมาก นอกจากระจายตัวดีแล้ว กลิ่นช่วงกลางยังติดทนไปถึงบ่ายถึงเย็นเลยละ
  • กลิ่นเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราไหม? ฉีดน้อยก็เหมาะอยู่ แต่กลิ่นนี้มันเหมาะกับช่วงเวลากลางคืนเย็นๆ จริงนะ เพราะกลิ่นมันมีความหวานและฉุนอยู่นิดหน่อย เหมาะกับช่วงเวลาพิเศษที่เป็นทางการ หรืองานเลี้ยง คิดว่างั้น

เป็นน้ำหอมตระกูล The One ที่กลิ่นหอมไม่ทิ้งห่างกันเลย มีความหอมในระดับที่ดี และมีเอกลักษณ์ของตัวเอง นั่นคือความฉุนแบบกลิ่นไม้หอมและความหวานของคาราเมลกับวนิลลา ใครชอบกลิ่นลักษณะนี้ก็ลองหามาลองกันดู ส่วนตัวไม่ชอบเท่าไหร่เอาไว้ฉีดบางเวลาก็พอได้อยู่

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Dolce&Gabbana Light Blue EDT

Dolce & Gabbana Light Blue เป็นน้ำหอมแนวกลิ่นผลไม้ ดอกไม้สดใส ที่ให้ความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย ใช้ได้ทุกวัน เป็นกลิ่นที่ให้ความเป็นฤดูร้อน เปิดตัวปี 2001 เป็นกลิ่นที่มีความนิยมสูงจนมีรุ่นพิเศษ และความเข้มข้นใหม่ๆ ตามมาอีกมากมายในแต่ละปี

กลิ่นเปิดมาหอมแบบกลิ่นมะกรูด ใส เขียว พร้อมกลิ่นเหมือนเปลือกส้มฉ่ำๆ ตามด้วยความหอมละมุนแบบกลิ่นดอกไม้สีขาวและมักส์ ให้ความรู้สึกหอมเย็นผ่อนคลาย ที่มีกลิ่นออกเปรี้ยวนิดๆ คลออยู่ในกลิ่นจางๆ ผ่านไปสักพักกลิ่นเริ่มมีความนวล นุ่มหอมเนียนแต่ยังคงไม่ทิ้งกลิ่นใสของมะกรูดอยู่เป็นกลิ่นที่สดชื่น ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ที่เวลาได้กลิ่นอะไรที่ทำมามีซีตรัสใสๆ นวลๆ คล้ายกลิ่นนี้จะรู้สึกถึง light Blue ได้เลยทันที กลิ่นนี้มันให้ความรู้สึกสดใส สดชื่น หอมเย็นเหมือนนั่งอยู่ริมทะเลแล้วดื่มน้ำมะนาวเย็นๆ กลางแดดจ้าเลยละ รู้สึกดีจริงๆ

  • กลิ่นหอมไหม? หอม หอมมาก หอมแบบอยากจะกินเข้าไปเลย ให้อารมณ์ริมทะเลสุดๆ
  • กลิ่นกระจายตัวดีไหม? กลิ่นนี้กระจายตัวดีค่อนข้างมาก แต่ไม่ถึงกับกลิ่นแน่น เป็นกลิ่นหอมใส นวลๆ ที่ให้ความฟุ้งของกลิ่นอย่างน่าพอใจมาก
  • กลิ่นติดทนไหม? ความทนปกติที่ 4-5 ชั่วโมง แล้วก็จะจางไปเป็นกลิ่นติดผิวอ่อนๆ แต่ยังพอให้รู้สึกได้อยู่นิดๆ
  • กลิ่นเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราไหม? เหมาะมาก อากาศร้อนๆ กับกลิ่นหอมแบบนี้จะไปฉีดตอนไหนก็ฉีดเลย กลิ่นเบาสบาย หอมแบบชิลๆ ดูไม่เป็นทางการมากด้วย

กลิ่นนี้กลิ่นเด่นของมันที่บางคนจะได้กลิ่นเป็นเลม่อน ซึ่งเป็นโน้ตของตัวน้ำหอมจริงๆ ส่วนตัวได้กลิ่นเป็นมะกรูดนะ กลิ่นไม่เชิงเหมือนเลมอนเท่าไหร่ ที่บอกได้เลยว่าเป็นน้ำหอมสำหรับฤดูร้อนอย่างแท้จริงสำหรับกลิ่นนี้ กลิ่นมันให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น เวลาเจอแดดร้อนๆ ได้ดี ที่รู้สึกว่าหอมใสน่าใช้กว่ากลิ่น Light Blue ของผู้ชายด้วย กลิ่นนี้ให้ความชิล ความดูเป็นคนสบายๆ กว่าเยอะถ้าถามนะ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

Blog: วันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 เปิดกล่องน้ำหอมเทสเตอร์ หรือ น้ำหอมกล่องขาว ข้างในมันเป็นยังไงนะ

วันนี้จะมาเปิดกล่องน้ำหอมเทสเตอร์ หรือว่า น้ำหอมกล่องขาว ว่าข้างในมันเป็นยังไง มันเป็นของแท้รึเปล่า? ขวดมันจะเหมือนตัวที่ขายจริงไหม? มันจะหอมกว่ารุ่นขายจริงไหม? แล้วทำไมถึงเอามาขายในราคาถูก? คำถามพวกนี้แหละที่สงสัยและบางข้อก็พอจะมีคำตอบ ข้อแรกเลยมันเป็นน้ำหอมของแท้นี่แหละ มีโค้ดใต้ขวดตรงกลับโค้ดบนกล่องเอาไปตรวจสอบได้ เพียงแต่ไม่ได้เป็นกล่องสีสวยๆ แบบขายจริง ขวดของมันก็เป็นแบบขวดขายจริงเลย แต่บางทีจะมาแค่ขวดไม่มีฝามาให้ บนกล่องและก้นขวดน้ำหอมจะระบุไว้ว่า Tester Not For Sale เท่านั้น มันก็หอมเหมือนกับตัวที่ขายจริงแหละ เพียงแต่ข้อนี้รู้สึกไปเองจากน้ำหอมขวดทดลองใช้ที่ได้มามันดันหอมกว่าแบบขวดขายจริงเลยสงสัย ส่วนข้อสุดท้ายนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงเอามาขายได้ หรือเอามาขายราคาถูกเหมือนกัน เค้าบอกแค่ว่า BA ของแบรนด์ในห้างหามา แค่นั้นแหละรายละเอียดก็ไม่รู้อยู่ดี

น้ำหอมที่เอามาเปิดกล่องเป็นน้ำหอมใหม่ของ Dolce&Gabbana The only One ตัวนี้เพิ่งวางขายประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ลองซื้อหลอดเล็กทดลองมาใช้แล้วดันชอบกลิ่นก็ไปหาขวดใหญ่มาใช้ต่อยาวๆ อีก 1 ได้มาก็แพงอยู่เพราะมันเพิ่งออกยังไม่มีตัวทดลองมาขายเยอะแต่ไม่ใช่ราคาที่ติดอยู่บนกล่องนะ ราคาบนล่องรู้สึกว่าจะเป็นราคเต็มที่ขายจริงของตัวนี้เลยไม่รู้เหมือนกันทำไมมีป้ายราคาของห้างติดอยู่ กลิ่นของรุ่นนี้เป็นกลิ่นแบบดอกไม้ กับกลิ่นขนมหวานๆ ส่วนตัวรู้สึกว่ากลิ่นเปิดมันหอมเหมือนดอกไม้หอมฟุ้งๆ บางทีก็รู้สึกเหมือนกลิ่นของถังพลาสติกที่ซื้อมาใหม่แบบนั้นเลย สักพักไปจะเป็นกลิ่นหอมประมาณกลิ่นวนิลลา กลิ่นคาราเมลแบบชัดเจน แล้วก็เป็นกลิ่นหอมแบบนั้นไปเรื่อยๆ เพราะชอบฉีดใส่เสื้อผ้ากลิ่นเลยไม่ค่อยเปลี่ยนไปแบบฉีดบนผิวสักเท่าไหร่ ความทนก็อยู่ได้ตั้งแต่เช้าจนเย็น เพียงแต่กลิ่นประมาณชั่วโมงที่ 4-5 ไปแล้ววจะอ่อนลงแบบต้องเข้ามาใกล้ๆ ถึงจะได้กลิ่น ตอนพิมพ์อยู่ตอนนี้ก็ค่ำแล้วยังไงได้กลิ่นบนเสื้ออยู่เลย

Blog: เล่าเรื่องซื้อน้ำหอมจากความบังเอิญ [Dolce & Gabbana The One EDP]

ต่อจากครั้งก่อนที่มาเล่าเรื่องซื้อน้ำหอม มันก็เลยยืดยาวต่อเนื่องกับน้ำหอมขวดต่อๆ มา กลิ่นนี้ได้มาแบบบังเอิญแบบว่าเลือกซื้อกลิ่นอีกกลิ่นแต่มันหมดเหลือแค่กลิ่นนี้เหลือกลิ่นสุดท้ายเลยซื้อมาแบบไม่ได้คิดอะไร กลิ่นที่ว่านี้เป็นน้ำหอมของ Dolce & Gabbana The One EDP ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำหอมผู้ชายเพราะเคยผ่านตากับ The One รุ่นผู้ชายที่ขวดสีทองๆ น้ำตาล ยังไม่เคยเห็นรุ่นของผู้หญิงที่ขวดสีทองอร่าม เพราะกลิ่นที่ซื้อมาเป็นแบบน้ำหอมทดลอง คือมันเป็นขวดแก้วหัวลูกกลิ้งที่เค้าแถมตามเคาน์เตอร์เขียนแค่ชื่อรุ่นกับฝาสีทอง เลยคิดไปว่าเป็นรุ่นผู้ชายที่เคยเห็นแหละ จริงๆ ฝาขวดมันต่างกันมากกกก ไม่น่าสับสนแต่ก็สับสนไปแล้ว

 

จนเมื่อได้ลองใช้สักพักก็ประมาณเดือนนึง (ขวดที่ซื้อหัวลูกกลิ้งขนาด 7ml. นี่ก็ใช้ได้นานนะ) ก็รู้สึกชอบใจกลิ่นมันหอมแบบที่ว่าใส่แล้วคนจะรู้ว่าใส่น้ำหอมนะ ไม่ใช่ใส่แล้วเป็นกลิ่นหอมๆ ติดตัวเฉยๆ อะไรแบบนั้น 555 เข้าใจรึเปล่าเนี่ย… นี่แหละก็เลยจะซื้อขวดใหญ่มาใช้ ค้นหาร้านใน Shopee ก็ถึงเห็นว่ามันมี The One รุ่นผู้หญิง ที่ฝาสีทองด้วย เกิดความลังเลขึ้นมาว่าที่เราใช้อยู่มันรุ่นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ไปซื้อ The One รุ่นผู้ชายแบบแบ่งขายมา 10ml. สรุปไม่ใช่นะจ๊ะ รุ่นที่เราชอบมันเป็นรุ่นของผู้หญิง แต่ทำไงได้ก็คนมันชอบ แถมขวดรุ่นผู้หญิงก็สวยสุดยอดอีกด้วยก็เลยจัดมา 1 ขวดใหญ่ ได้มาราคาดีอีกต่างหาก ราคาป้าย Kingpower อยู่ที่ 3,000 กว่าๆ ได้มา 1,590 เอง แถมได้เป็นกล่องขายจริงกล่องสีทองสวยดีเข้ากับฝากขวดที่มีสีทองอร่ามจริงๆ

 

ขวดของ The One รุ่นนี้สวยดี เป็นขวดน้ำหอมในแบบอุดมคติ ที่ต้องเป็นขวดแก้วสี่เหลี่ยมกับฝาสี่เหลี่ยมเงาวับดูดี มันเข้ากับขวดของ The One รุ่นนี้จริงๆ รุ่นนี้เป็นรุ่น Eau De Parfum ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุด(คิดว่างั้น) รุ่นก่อนหน้าเป็นรุ่น Eau De Toilette ที่เป็นขวดแก้วทรงสูงเขาว่ารุ่นนี้กลิ่นดี แต่ติดไม่ทนเลยทำรุ่น EDP ออกมา เรื่องนี้ไม่รู้เพราะยังไม่เคยลองรุ่น EDT ไว้เจอจะเอามาลองใช้ดู

 

มาถึงเรื่องกลิ่นกันบ้าง กลิ่นนี้ส่วนตัวแล้วจะได้กลิ่นหอมหวานๆ ปนกลิ่นหอมสังเคราะห์หน่อยๆ อันนี้เล่าแบบไม่มีความรู้เรื่องน้ำหอมที่จะอธิบายท๊อบโน๊ต มิดเดิลโน๊ต เบสโน๊ต อะไรเลยนะ ครั้งแรกที่ใช้เลยคิดว่าเป็นกลิ่นที่เลี่ยนๆ เอียนๆ แบบคนแก่ ผู้หญิงแก่ประมาณนั้น แต่พอผ่านไปสักพักมันจะเป็นกลิ่นหอมอวลๆ แบบดอกไม้ ที่กลิ่นกระจายตัวตีขึ้นมาให้รู้สึกตลอด จนผ่านไปนานเลยกลิ่นจะกลายเป็นกลิ่นหอมแบบแห้งๆ เหมือนไม้หอม รึดอกไม้แห้งในถุงหอมแบบนั้นละที่จะอธิบายได้ ไอ้กลิ่นหลังจากฉีดไปสักพักนี่แหละมันติดใจ เพราะมันเป็นกลิ่นที่ฉ่ำ และให้ความรู้สึกดีแบบไม้หอม หรือกลิ่นดอกไม้แห้งๆ ในเวลาเดียวกัน กลิ่นแบบนี้ที่ตอนแรกไม่คิดว่าเป็นกลิ่นของรุ่นผู้หญิงแอบคิดว่ากลิ่นผู้ชายก็ทำกลิ่นดอกไม้แบบนี้ด้วยนะ 555

 

เล่าถึงกลิ่นรุ่นของผู้ชายสักหน่อย มันให้กลิ่นแบบหอมแบบภูมิฐาน หอมนุ่มเข้มไปถึงฉุนได้เลย เริ่มแรกเป็นกลิ่นเป็นกลิ่นหอมแบบไม้หอมฉ่ำๆ หวานหน่อยๆ เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น แบบน่าจะใส่ช่วงฤดูหนาวหรือทำงานในห้องแอร์ ส่วนตัวไม่ชอบกลิ่นรุ่นผู้ชายนี้เท่าไหร่คิดว่ากลิ่นมันฉุนไปหน่อยแสบจมูกนิดๆ เลยละ