Perfume Blog: ลองกลิ่น AMOUAGE Honour Man + Gold Man

ลองกลิ่นแรก Honour Man EDP เป็นกลิ่นที่ออกมาตั้งแต่ปี 2011 เป็นกลิ่นที่บรรยายไว้ว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้หวนรำลึกถึงอดีต เรื่องราวของความสัมพันธ์อะไรทำนองนั้น มีโน๊ตกลิ่นที่ยกมาจากเว็บไซต์ระบุไว้ระเอียดเลย

  • Top Notes: Pink Pepper, Black Pepper.
  • Heart Notes: Geranium, Nutmeg, Elemi.
  • Base Notes: Patchouli, Frankincense, Cedarwood, Vetiver, Tonka Bean, Musk.

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นพริกไทยฟุ้ง เครื่องเทศซ่าตลบ ให้กลิ่นหอมเย็นแบบเครื่องเทศแห้ง โปร่ง แบบหอมสบายจมูกเลยทีเดียว เป็นกลิ่นที่เหมือนร้านขายยาจีน ร้านขายเครื่องเทศ ปนกับกลิ่นยาแก้ไอน้ำดำที่ไม่ชุ่มฉ่ำ แต่โปร่งเบา ฟุ้งมากมาย กลิ่นหลักๆ รู้สึกได้เท่านี้ แต่ก็รู้สึกถึงกลิ่นแบบ Geranium คลอพอให้กลิ่นดูมีอะไรไม่แห้งเหือดซะทีเดียว เป็นกลิ่นแบบนี้ไปจนช่วงหลังของกลิ่นเลย

กลิ่นนี้มันเฉพาะทางมากจริงๆ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ได้ลองกลิ่นมาก่อน เป็นกลิ่นหอมแนวเครื่องเทศจ๋า ไม่ฟรุตตี้ ไม่ดอกไม้อะไรทั้งนั้น เครื่องเทศ ไม้หอมทั่งแท่งเลยทีเดียว แต่จะหาว่าไปช่วงกลางมันจะมีกลิ่นหวานแบบกลิ่นน้ำผึ้งตุ่น แซมไม้หอมโปร่งๆ เข้ามาแบบหล่อสไตล์ตะวันออกกลาง กลิ่นนี้ค่อนข้างหนัก เนื้อกลิ่นดูโปร่ง ฝุ่นที่อาจจะแสบจมูกได้บางครั้ง เข้ากับอากาศที่ไม่ร้อนมากได้ เหมาะสุดเวลากลางคืน


ต่อมา Gold Man EDP เป็นกลิ่นแรกๆ ของแบรนด์ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1983 บรรยายกลิ่นไว้ว่าเป็นกลิ่นที่ Sultan Qaboos มอบเป็นของขวัญให้กษัตริย์ทั่วโลกทีไ่ด้พบปะ กลิ่นที่แสดงถึงความมั่งคั่งของสุลดาลของโอมาน มีโน๊ตกลิ่นของ

  • Top Notes: Rose, Lily of the Valley, Frankincense
  • Heart Notes: Jasmine, Orris, Myrrh
  • Base Notes: Ambergris, Civet, Musks, Cedarwood, Sandalwood, Oakmoss, Patchouli

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นดอกไม้ Flaral แบบ Vintage จัดๆ กลิ่นแบบ Lily of The Valley หมอเหนอะๆ คาวๆ พอกลิ่นเริ่มแห้งสักพักกลิ่นเให้ความฉุน ทึบแบบกลิ่นนน้ำหอมเก่าตามโกดังญี่ปุ่น เป็นกลิ่นที่ชวยงุนงง ว่านี่เป็นกลิ่นน้ำหอมที่ปรุงในยุคใหม่จริงหรือนี่ ช่วงกลางของกลิ่นให้กลิ่นหอมแห้งของดอกไม้ แบบกลิ่นดอกมะลิยุคเก่า อบอุ่นด้วยเครื่องเทศพวก Ambergris กับความคาวคมๆ แนวกลิ่น Civet คลอมาแบบไม่เปิดเผยตัว ช่วงหลังของกลิ่นเมื่อทุกอย่างเริ่มปล่อยตัวลง เซ็ตตัวได้ที่แล้วให้กลิ่นที่หอมนุ่มแนวเครื่องเทศแห้ง ปน Civet คาว เขียวบางๆ ดูอบอุ่น Cozy ใช้ได้ แต่ช่วงท้ายของกลิ่นทิ้งความสาบไว้บนผิวรุนแรงไปหน่อยไม่ชอบเลย

กลิ่นมันหอมนะอย่าเข้าใจผิด แต่กลิ่นเปิดและโทนกลิ่นหลักๆ มันให้อารมณ์น้ำหอมผู้หญิงยุคเก่าชัดเจนเลยทีเดียว อย่างกับ Chanel N5 ยุคที่ออกมาใหม่ๆ ซะอย่างนั้น มีความ Floral ฟุ้งระเบิด ระเบ้อ กลิ่นดอกไม้แห้งๆ ปนกลิ่นแบบ Civet ที่เชิญชวนให้ดม กลิ่นคมชัดแบบนีเนี่ย เอาตรงๆ ไม่กล้าเอาไปใช้งานจริงในปัจจุบันเลย เอาไว้ฉีดก่อนนอนพอได้อยู่สำหรับคนที่ชอบกลิ่นแนว Vintage กลัวใช้ตอนกลางวันแล้วคนจะเบือนหน้าหนีหน่ะสิ มันไม่เข้ากับยุคสมัยสักเท่าไหร่ สมกับรีวิวต่างประเทศที่ว่ากลิ่นมันให้อารม์ของ Old Lady Fragrance ซะจริงๆ

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น HERMES Terre D’Hermes EDT [2006]

ถึงคิว HERMES Terre D’Hermes รุ่น EDT มาลองกลิ่นแล้ว กลิ่นที่โด่งดัง ได้รางวัลมาด้วยตอนออกใหม่ๆ แต่ก็ไม่เคยลองกลิ่นเลย เพิ่งได้ลองตัว Perfum มาไม่นานนี้กลิ่นหอมติดใจ รอจนหาขวดเล็กแบบสเปรย์มาได้ก็เอามาลองกลิ่นเล่าให้อ่านกัน

HERMES Terre D’Hermes EDT ออกมาในปี 2006 ให้กลิ่นแนว Wooddy Spicy ด้วยโน้ตกลิ่นของ Orange, Grapefruit, Pepper, Pelargonium, Flint, Vetiver, Cedar, Patchouli, Benzoin

เปิดมาแบบกลิ่นส้มขมๆ พร้อมกับกลิ่นเครื่องเทศที่เป็นกลิ่นโปร่งใส ให้กลิ่นซ่าโปร่งที่ไม่หนัก พอกลิ่นแห้งไปสักพักเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นแนว Vetiver ชัดเจน ให้กลิ่นหอมเนียนมีความเขียวใสนิดๆ พอสดชื่น แล้วก็ให้กลิ่นแบบนี้ไปยาวๆ เลย

เป็นน้ำหอมกลิ่นแบบ Aromatic เบาๆ ที่ให้กลิ่นแบบน้ำหอมผู้ชายนำมาแต่ไกล รู้สึกกว่ากลิ่นจะคล้ายกับรุ่น Parfum มาก ก็ต้องคล้ายสิรุ่น EDT ออกมาก่อนตั้งนานถือว่าเป็นต้นแบบของกลิ่นเลย กลิ่นสดชื่นจากผลไม้พวกซีตรัสที่ไม่เป็นผลไม้เกินไป ผสมกับความซ่าเย็นแบบกลิ่นเครื่องเทศตัดความใส ตบท้ายด้วย Vetiver ที่เนียนนุ่มแบบไม่เหม็นเขียว หรือชวนเวียนหัวเลย

กลิ่นหอมแนว Old School แต่ก็ไม่ดูแก่ แต่ก็ไม่เชิงจะเด็กวัยรุ่น เอาเป็นว่ากลิ่นมันหอม กลิ่นมันหล่อดีละกลิ่นนี้ กลิ่นหอมใส ไม่ทึบ กลิ่นค่อนข้างบางเบา สามารถใช้ตอนอากาศร้อนแบบนี้ได้ด้วย ไม่ฉุนฟุ้งแนวไม้หอมเกินไป

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Kenzo Flower by Kenzo Eau De Vie Edp Legere 50ml [2019]

Flower by Kenzo เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Floral ที่ออกมาในปี 2019 ออมาด้วยแรงบันดาลใจจากกลิ่น Flower ดั้งเดิมที่โดงดัง โดยนำเสนอใน Concept กลิ่นของการตกหลุมรักในบางสิ่งบางอย่าง, รักในการใช้ชีวิต, การหลงใหลในการใช้ชีวิต มีโน้ตกลิ่นของ Ginger, Neroli, Orange Blossom, Bunlgarian rose absolute, Tonka, White musk

กลิ่นเปิดมาเขียวคม แบบกลิ่นพวกตระกูุลซีตรัสที่ให้กลิ่นเขียวสดชื่น ตัดกับกลิ่นนวลแป้งๆ ที่คลอมาในพื้นหลัง รวมกันแล้วให้กลิ่นเปิดที่แปลกดี เมื่อผ่านไปสักพักใหญ่กลิ่นแป้งเริ่มชัด และหนักขึ้นแบบแป้งชื้น ติดเขียวบาง มีกลิ่นแบบ Orange Blossom ที่คุ้นเคยลอยคู่กันมาแบบโปร่งใส ทำให้กลิ่นแป้งที่ชื้น ฉุน ดูโปร่งขึ้นมาได้บ้าง แต่โดยรวมกลิ่นช่วงกลางนี้ก็ยังให้กลิ่นแป้งที่หนักทึบหน่อยๆ อยู่ดี เป็นกลิ่นแบบนี้อวลไปจนจบกลิ่น ที่ให้กลิ่นนวลบางๆ ติดตัว

ยังคงเป็น Flower น้ำหอมกลิ่นแป้งหอมกรุ่นเหมือนรุ่นแรก แต่ในรุ่นนี้กลิ่นแป้งออกจะฉุน กลิ่นทึบ ติดเขียวแปร่งๆ กลิ่นไม่โปร่งเบาสบาย ไม่ดูน่ารัก ไม่สาววัยใสอะไรแล้ว เป็นกลิ่นที่จริงจัง อบอุ่น เป็นการเป็นงานออกไปทางนั้นมากกว่า ส่วนตัวคิดว่ามันหอมแต่ไม่ทันสมัยเลย กลิ่นเหมือนแป้งฝุ่นตรางูที่ทิ้งไว้ในห้องน้ำนานนับปี ที่ให้กลิ่นอับๆ เย็นๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมดับกลิ่นกลิ่นส้มราคาถูก แบบนั้น

จะว่าไปมันก็เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้นึกถึงสมัยเด็ก เหมือนกลิ่นของอะไรสักอย่างที่นึกไม่ออก เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยจริงๆ เอาเป็นว่าใครชอบกลิ่นแป้งหอมต่างๆ ก็น่าจะถูกใจกับรุ่นนี้ได้ไม่ยาก ส่วนใครที่ไม่ชอบกลิ่นแป้งฝุ่น หืน ชื้น ทึบ ให้หลีกหนีไปให้ไกลเชียว

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น BVLGARI Le Gemme Desiria EDP 30ml

สวัสดีปีใหม่! ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในทุกอย่างที่คิดไว้ในปีนี้ทุกคนเลยนะครับ! วันนี้ได้น้ำหอมกลิ่นกุหลาบจากไลน์ Le Gemme ของ BVLGARI มาลองกลิ่น นั่นคือกลิ่น Desiria ได้มาเป็นชุดบริการบนเครื่องบินของสายการบินนึง มาเป็นชุดกระเป๋าพร้อมของใช้ของชั้น Business Class ในกระเป๋าจะมีอุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงน้ำหอมของ BVLGRI ด้วย หรูหราครบครันสมราคาค่าตั๋วมาก ได้มาแล้วก็ขอลองกลิ่นสักที โดยกลิ่น Desiria เป็นกลิ่นที่ออกมาเมื่อปี 2016 ให้กลิ่นของกุหลาบเป็นหลักผสมผสานกับ Champaca อันมีมนต์เสน่ห์ ด้วยโน้ตกลิ่นจาก Magnolia, Rose, Musk

กลิ่นเปิดให้ความหอมมันนุ่ม เหนอะๆ ที่ให้ความรู้สึกสะอาด กลิ่นแนวผ่อนคลาย ตามมาด้วยกลิ่นอมเปรี้ยวติดหวานระเรื่อแบบกลิ่นของกลีบกุหลาบที่เด็ดออกมาจากดอก รวมกับกลิ่นเปิดแล้วยิ่งทำให้กลิ่นหอมสะอาดสะอ้านมาก ให้กลิ่นหอมนวลปนกับกลิ่นกุหลาบอมเปรี้ยวบางๆ คลุ้งไปทั่ว กลิ่นดูธรรมดาแต่มันกลับดูหรูหรายังไงม่รู้ ไม่ต้องมีกลิ่นซับซ้อนอะไรมากมาย

กลิ่นนี้จาก Le Gemme ให้กลิ่นกุหลาบที่หอมนวล แต่โปร่งใส เป็นกุหลาบสะอาดๆ มีระดับ ไม่คุณหนู ไม่สดใส ฟรุ้งฟริ้ง แต่เป็นกุหลาบที่สุขุม เรียบง่าย น่าให้เกียรติแบบนั้นมากกว่า เรียกว่าเป็นกุหลาบอีกมุมนึงที่อาจจะไม่ค่อยได้เจอ เป็นมุมที่ดูเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล น่าคบหามาก ชอบกลิ่นนี้เลยหลังจากได้ลองกลิ่น ถ้าไม่ได้ชุดขนาด 30ml มาก็คงไม่มีโอกาสได้เอามาลองกลิ่นแน่ อยู่ในไลน์ราคาแพงขนาดนั้น

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น น้ำหอมน่องไก่ทอด KFC Eau D’Uardo EDT 50ml [2023]

วันนี้จะมาลองกลิ่นของแปลกที่ไม่คิดว่าจะได้มาลองกลิ่นในบล็อก เพราะมันไม่ได้มีขายทั่วไป มันคือน้ำหอม KFC น่องไก่ หรือ KFC Eau D’Uardo เป็นน้ำหอมที่ทาง KFC ประเทศ Spain ทำออกมาขายแบบ Limited โดยขวดที่ได้มาก็ได้มาแบบแย่งชิงตบตีกับคนอื่น แย่งกัน F ในกลุ่มน้ำหอม ด้วยความที่เห็นว่าขวดมันแปลก และมันก็เป็น KFC ไก่ทอดที่บล็อกชอบเป็นการส่วนตัวเลยคิดว่าน่าจะเอามาเก็บไว้สักขวด เลยใช้วิชา F ของ ที่ฝึกฝนมาอย่างดี F แย่งมาจนได้

รายละเอียดของกลิ่นก็หาไม่ค่อยได้ แต่เจอโน้ตกลิ่นคร่าวๆ ว่ามีโน้ตของ Geranium, Mandarin, Bergamot, Pink Pepper เห็นโน๊ตแล้วก็พอจะเดาทางกลิ่นได้ว่ากลิ่นจะเป็นแบบไหน ที่คิดไว้ว่าคงเป็นกลิ่นแนวซีตรัสคมๆ ใสๆ แห้งๆ สไตล์น้ำหอมราคาถูกแน่นอน แต่ก็มาดู Marketing ของน้ำหอมขวดนี้แล้วก็ไม่ธรรมดาเลย ไม่น่าจะเป็นกลิ่นซีตรัสธรรมดาแล้วละ ยิ่งทำให้อยากลองกลิ่นเข้าไปอีก

โดย KFC Eau D’Uardo นี้เป็นสินค้า Limited ผลิตมาจำนวน 25,000 ขวด สามารถซื้อได้ในร้าน KFC และ KFC App ประเทศสเปน ในราคา €3.99 เท่านั้นเ (แต่เมื่อหิ้วเดินทางมาถึงไทยราคาก็สูงขึ้นอย่างมากตามความต้องการ)

วันนี้น้ำหอมก็เดินทางถึงก่อนปีใหม่พอดี แกะดูขวดรูปน่องไก่ดูหน้าตาตลกดีพิกล แต่ก็ชอบมากด้วยเพราะความแปลกของขวดนี่ละ สัมผัสแรกรู้สึกว่าขวดมัน “เบา” แปลกๆ เพราะด้วยวัสดุที่ทำขวดเป็นพลาสติกทำสีเคลือบเงาธรรมดา ไม่ใช่วัสดุแบบ “แก้ว” เหมือนขวดน้ำหอมทั่วไป แต่ด็เข้าใจด้วยด้วยการทำตลาดราคาที่ไม่แพง ส่องดูน้ำหอมมีประมาณครึ่งน่องไก่ ดูน้อย แต่ก็น่าจะปริมาณ 50ml ตามที่ระบุ ด้วยความหนาของขวดไม่หนาเหมือนพวกวัสดุแก้วทำให้จุได้ปริมาณเยอะกว่า ฝาขวดเป็นพลาสติกเหมือนตัวขวด หัวสเปรย์โลหะธรรมดา นอกนั้นก็ปกติสไตล์น้ำหอมราคาประหยัด

กลิ่นเปิดมาด้วยกลิ่นซีตรัสหวานใส หอมเย็น โดยทีกลิ่นหวานค่อยๆ เพิ่มขึ้นแบบน้ำหอมกลิ่นแนว Sport ที่คุ้นเคย ความหวานที่แทรกขึ้นมามันให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นผลไม้พวกซีตรัส พวกส้ม ผสมกับกลิ่นดอกไม้หอมเย็น ช่วงท้ายให้กลิ่นหวานเนียนตลอดช่วงอายุกลิ่น เป็นกลิ่นแค่นี้เท่าที่รู้สึกได้ เป็นโทนกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากอย่างบอกไม่ถูก

อย่างที่บอกมันเป็นโทนกลิ่นที่คุ้นเคยในพวกกลิ่นน้ำหอมผู้ชายจาก Dior และ Chanel เลย โทนกลิ่นซีตรัส Bergamot และไม้หอมติดอุ่่น-เย็น แบบนี้ เพียงแต่น่องไก่กลิ่นนี้มันให้กลิ่นหวานคลอมาในช่วงกลางของกลิ่นด้วย กลิ่นหวานที่นึกถึง Versace Eros, Chanel Allure Homme Sport, Dior Sauvage EDP, JPG Le Male Aviator ผสมปนกันไปหมดอย่างนั้นเลย มันหอมทันสมัยจนน่าประหลาดใจ

สรุปแล้วมันเป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Sport หรือกลิ่นน้ำหอม ผู้ชาย ที่เราคุ้นเคยกันนี่เอง ให้กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ปนกลิ่นหวานนุ่มแบบสดชื่นแบบไม่เชย ไม่เล่นๆ เลย ให้กลิ่นหอมแบบสู้กับกลิ่นแบรนด์ใหญ่ได้สบาย หายสงสัยแล้วว่า KFC Spain ทำน้ำหอมออกมาขายจะเป็นกลิ่นแบบไหน แต่ก็ผิดหวังที่ไม่ใช่กลิ่นไก่ทอด หรือกลิ่นแปลกๆ อย่างรูปร่างขวด มันน่าเสียดายที่กลิ่นมันหอมทันสมัยไปหน่อย

KFC Eau D’Uardo EDT 50ml [2023]

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: CHANEL GARDÉNIA EDT 35ml Vintage

วันนี้จะมาลองกลิ่นน้ำหอมของ CHANEL กลิ่นเก่าแก่พอๆ N5 เลย กลิ่น GARDÉNIA ที่ผู้คนได้รู้จักครั้งแรกเมื่อปี 1925 และได้ถูกนำเข้าไปในไลน์น้ำหอม  Les Exclusifs de CHANEL ในปัจจุบัน

ที่หยิบเอากลิ่นนี้มาลองกลิ่นก็เพราะได้ขวดรุ่นเก่ามา 1 ขวด เป็นขวดแบนขนาด 35ml Limited Edition 1990s Version ฝาสีขาวสวยเลยทีเดียว เป็นกลิ่นที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ลองถ้าไม่ไปซื้อแบบแบ่งขายมาลองกลิ่นนะ ตอนแรกว่าจะเอาเก็บเข้าตู้เก็บไว้เฉยๆ แต่ก็เอาไปลงขายในร้านซะแล้ว คงไม่มีใครซื้อหรอกมั้ง คิดว่าน่าจะดีถ้าเอาความคิดตอนที่ได้มาลองกลิ่นครั้งแรกมาลงให้อ่านกัน เป็นการลองกลิ่นที่เบาๆ พอได้สัมผัสกลิ่น

กลิ่นเปิดมาแบบหอมเนียน เนียนจนตัวลอย กลิ่นดอกไม้ขาว ที่ให้ภาพขาวใสครีมมี่นุ่มเนียน ให้แนวกลิ่นดอกมะลิหอมเย็นใส มีความเขียวความฉ่ำนิดๆ ในพื้นหลัง เป็นกลิ่นดอกไม้ที่หอมสะอาด หรูหรา แต่เรียบง่าย จะเล่ากลิ่นยังไงดีถ้าจะบอกว่ากลิ่นมันเหมือนเปล่งประกายระยิบระยับได้แบบนั้นเลย เป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นดอกไม้หอมสะอาด สดชื่นโปร่งเบา กลิ่นหอมเย็นกำลังดี

นี่แค่ลองกลิ่นดูครั้งแรกนะ กลิ่นมันหอมมากๆ เพราะไม่คิดว่าจะเอามาลองใช้ทั้งวัน เก็บขึ้นหิ้งไว้ดีแล้ว ทั้งขวด ทั้งกลิ่นมันคือที่สุด หอมแบบนี้ไม่เหมือนกลิ่นจาก Chanel รุ่นทั่วไปที่มีในปัจจุบันเลย กลิ่นมันให้ความรู้สึกถึงกลิ่นดอกไม้ขาวสะอาด หอมหรู บอบบางอย่างบอกไม่ถูก เนื้อกลิ่นหอมกลีบดอกไม้ฉ่ำ เขียวสดชื่น  ทำให้อยากลองกลิ่นของรุ่นปัจจุบันเลยว่ากลิ่นยังคงดีเหมือนรุ่นเก่าๆ ไหม

CHANEL GARDÉNIA EDT 35ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ลองกลิ่น Dior Hypnotic Poison Eau Secrete EDT 100ml Tester [2013]

Dior Hypnotic Poison Eau Secrete ออกมาช่วงต้นปี 2013 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Amber Floral ให้กลิ่นที่ปลุกเร้าความ Sexy ในตัวหญิงสาว สร้างความตราตรึงน่าหลงใหล มีโน๊ตกลิ่นของ Sicilian Mandarin, Orange, Calabria Bergamot, Sambac Jasmine, Tunisian Neroli, Vanilla

Hypnotic Poison Eau Secrete ขวดนี้อยู่ใน Wish List กลิ่นที่ต้องหามาเก็บใน Collection Poison ให้ได้ ด้วยความที่มันเป็นกลิ่นที่อายุสั้น อยู่ไม่นานก็เลิกผลิตทำให้มันหายาก และแพงมาก ทำได้แค่คอยดูตามเว็บ ตามเพจเผื่อมีหลงมาบ้าง ปีก่อนเจอหลงมาในกลุ่มน้ำหอม 1 ขวด ลงขายเป็นน้ำหอมก้นขวดขวดหลักร้อย แต่กดซื้อไม่ทันทำให้เสียดายมาก แต่โอกาสก็วนกลับมาอีกครั้งคราวนี้ประสบความสำเร็จหามาจนได้ 1 ขวด

ขวดนี้ได้มาเป็นขวด Tester ปริมาณน้ำหอมเรียกว่าน่าจะเต็มขวด ตัวขวดเป็นทรงสูงยาวดูแปลกพิลึก จะว่าคล้ายขวดรุ่นดั้งเดิมก็คล้าย แต่ไม่เหมือนเป๊ะ ด้วยตัวขวดที่หนากว่ามาก สภาพขวดก็เนียนสวย ใหม่เอี่ยม ไม่มีสีลอก ไม่มีรอยอะไรเลย น่ายเสียดายที่ไม่มีกล่องมาด้วยไม่งั้นครบชุดสวยๆ ขวดนี้ Batch Code: 3U01 ผลิตปี 2013 เดือน 7 เกือบ 10 ปีแล้วนะเนี่ย ออกจำหน่ายช่วงต้นปี 2013 แต่หาข้อมูลไม่เจอว่าเลิกผลิตปีไหนเหมือนกัน เป็นกลิ่นที่อายุสั้นจริงๆ ต่อไปมาลองกลิ่นกันดีกว่า

กลิ่นเปิดให้กลิ่นซีตรัส แบบเปลือกส้มหอมหวานสดชื่น แต่มีความครีมมี่หอมเย็นนวลอบอวล กลิ่นในพื้นหลังมีความขมแห้งติดเขียวบางๆ พร้อมกับกลิ่นวนิลลาหอมเนียนแห้งๆ คลอมากับกลิ่น ยิ่งผ่านไปกลิ่นวนิลายิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความหวานเอียนหน่อยให้อารมณ์ Hypnotic Poison EDT ใช้ได้เลย ช่วงกลางของกลิ่นไปจะให้ความรู้สึกของกลิ่นวนิลาฝุ่นๆ อวบอวลฟุ้งๆ ที่มีกลิ่นเขียวติดขมคมๆ ในพื้นหลังยาวไปจนจบกลิ่น

แปลกดีสำหรับกลิ่นนี้ ตอนแรกคิดว่าจะมาโทนกลิ่นแน่นๆ เหมือนกับต้นฉบับซะอีก แต่กลับกลายเป็นว่า Eau Secrete นั้นออกแนววนิลา-ส้ม สดชื่นไปคนละทางกับต้นฉบับพอสมควร แต่ยังคงทำให้นึกถึงต้นฉบับอยู่บ้างกับกลิ่นวนิลาแห้งๆ ผสมกลิ่นดอกไม้อย่าง Jasmine และ Neroli  ที่ให้กลิ่นหวานอวล ฟุ้งๆ ดูฉุนหน่อยแบบนั้น

สำหรับประสิทธิภาพนั้นบอกอะไรมากไม่ได้เพราะไม่อยากเอาไปใช้งานจริงเสียดายไม่อยากฉีดเยอะ แต่จากที่ลองกลิ่นนั้น กลิ่นค่อนข้างกระจายตัวดีในช่วงแรกๆ ผ่านไปสักชั่วโมงกลิ่นก็ไม่กระจายตัวสักเท่าไหร่แล้ว หลังจากนี้กลิ่นจะลอยอยู่แค่ๆ รอบตัว ติดผิวซะมากกว่า ให้กลิ่นหวานๆ และหอมวนิลาฟุ้งๆ ติดตัว แต่มันติดตัวนานอยู่นะอยู่ได้เกือบทั้งวันเท่าที่รู้สึก เพียงแค่มันไม่ฟุ้งเท่าพี่ๆ เขาเท่านั้นเอง

กลิ่นนี้เป็นกลิ่นในตระกูล Hypnotic Poison ที่พลังเบาบางกว่าเขาเพื่อน แต่ก็ให้กลิ่นหอมสดชื่น และดูใช้งานง่ายกว่าเขาเพื่อนอีกเหมือนกัน ให้กลิ่นหอมหวานอบอวลของวนิลา และ Jasmine ไม่ทิ้งลายต้นฉบับ แต่ให้ความต่างด้วยความสดชื่นจากกลิ่นซีตรัส และ Neroli เพิ่มเข้ามา ก็ถือว่าเป็นการสร้างความแตกต่างในตระกูล Hypnotic Poison แต่ก็นั่นละ กลิ่นนี้เลิกผลิตไปแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะกลิ่นมันดูค่อนข้างธรรมดามาก จริงๆ ก็ดูไม่เข้าพวกนั่นละเลยอายุสั้น เหมือนรุ่นพี่ที่เลิกผลิตไป

ส่วนตัวบล็อกนั้นไม่เสียดายที่เอามาเก็บเลย เป็นหนึ่งในกลิ่น Poison ที่อายุสั้น และหาขวดสภาพสมบูรณ์มาเก็บยากอีกกลิ่น ยังไงก็ต้องมีบนชั้นสักขวดละ หน้าตาก็แปลกกว่าเขา กลิ่นก็ไม่เข้าพวก แบบนี้ยิ่งต้องเอามาเก็บ แล้วก็เหลืออีกกลิ่นที่ยังหาไม่ได้คือ Hypnotic Poison Eau Sensuelle รุ่นที่ที่ออกมาก่อน ยังไม่เคยเห็นตัวจริงเลยสักครั้ง ไว้มีโอกาสเจอจะเอามาเล่าให้อ่านกันต่อไป

Dior Hypnotic Poison Eau Secrete EDT 100ml Tester [2013]

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Vintage Perfume Haul [2023 – Part 2] [Christian Dior – Poison, Tendre Poison, Poison Girl, Dune, Forever and Ever, I love Dior]

Vintage Monday อาทิตย์นี้มาต่อกับ Vintage Perfume Haul Part 2 ของน้ำหอมที่เลือกเก็บเอามาสะสมช่วงปีที่ผ่านมา บล็อกครั้งนี้เป็นของ Christian Dior ล้วนเลย เพราะเน้นเก็บของ Dior เป็นหลักนั่นเอง ระหว่างปีก็มีหยิบขายแก้ร้อนไปบ้าง มาดูกันว่าเหลืออะไรเก็บสะสมอยู่บ้าง

ชุดแรกนี้เป็นขวดที่เพิ่งได้มาไม่กี่วันนี้ก็ว่าได้ ขวดที่ตื่นเต้นที่สุดก็เป็น Hypnotic Poison Eau Secrete ขวด Tester 100ml น้ำหอมเกือบเต็มขวดที่ได้มาแบบบังเอิญที่สุด แบบที่มันคงต้องมาอยู่กับเราเพราะโพสลงขายมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วไม่มีสนใจมันเลย แบบนี้เขาเรียกพรมลิขิต อีกขวดก็เป็นขวดโลชั่นของ Hypnotic Poison ที่รู้สึกว่าจะหาซื้อยากเพราะเหมือนจะไม่มีขายทั่วไปในไทย ชอบตรงที่เป็นรูปร่างขวดแบบ Vintage Poison เลย แถมเป็นขนาดใหญ่ 200ml ด้วย ตัวจริงสวยมากๆ จับเต็มไม้เต็มมือ ขวดนี้ยังมีโลชั่นเหลือเกือบเต็ม ยังไม่หมดอายุ กลิ่นก็เป็นกลิ่นของ Hypnotic Poison เลย กลิ่นจะออกนวลๆ เบาๆ หน่อย และมีพวกผงไมก้าระยิบระยับติดหลังทาด้วย ไม่ชอบเลยเหมือนตัวตกสะเก็ด

Dior Hypnotic Poison Eau Secrete EDT 100ml Tester

Dior Hypnotic Poison Lait Satine Pour Le Corps Silky Body Lotion 200ml

ต่อเป็นเป็นขวดเปล่าของ Poison EDT ขวด Splash จุกแก้วแบบแต้ม ได้มาราคาไม่แพง 2 ขวด และก็ได้ Tendre Poison มาเพิ่มอีก 2 ขวดเหมือนกัน ขวดแรกเป็นขวดใหญ่เบิ้ม 100ml สภาพดีมาก น้ำหอมเหลือเกือบๆ ครึ่งขวด โชคดีมากที่ได้ไซส์นี้มาเก็บเพราะหายากเหมือนกัน อีกขวดเป็นขนาด 50ml สภาพพอใช้ น้ำหอมเหลือพอประมาณ มาพร้อมกล่องสภาพพอเป็นกล่องได้อยู่ ก็เอามาเก็บอีกขวด เพราะไม่เสียหายอะไรถ้าจะมี Dior Poison มาเก็บเยอะกี่ขวดก็ได้

Christian Dior Poison EDT 50ml Splash

Christian Dior Tendre Poison EDT 100ml

Christian Dior Tendre Poison EDT 50ml

ชุดต่อมาเหมือนจะเป็นโชคดีที่เขาจะมาอยู่กับเรา เพราะได้ Tendre Poison ขวด 100ml มาอีกขวด เป็นขวด Tester ที่มาพร้อมกล่อง Tester รุ่นเก่า น้ำหอมเต็มขวดอีกด้วย สุดยอดมากๆ ราคาก็สุดยอดเช่นกัน แต่มาครบชุดเนียนเกริบแบบนี้ยังไงก็ต้องเอามาเก็บละ

Tendre Poison อีกขวดได้มาแค่ขวด เป็นขวดรูปร่างสูงยาวเรียว รูปร่างแปลกที่ไม่เคยเห็นทั่วไป แต่เคยเห็นผ่านตามาบ้าง มันเป็นขวดของรุ่น Refillable Natural Spray หรือขวดรีฟิลนั่นเอง หายากมากๆ และ Dune EDT 50ml ขวดจุกแก้ว น้ำหอมเกือบเต็มขวด สภาพสวย พร้อมกล่องสภาพดี เป็นอีกกลิ่นที่ขวดแปลกแต่สวยดูมีลายเส้นน่ามอง

Christian Dior Tendre Poison EDT 100ml Tester

Christian Dior Tendre Poison Refillable Natural Spray EDT 75ml + ภาพปลอกด้านนอกของรุ่นนี้จาก Internet

Christian Dior Dune EDT 50ml Splash

แถมกับขวดเล็กๆ มีทั้งมาเป็นชุด และแบบแยกกล่องยังคงเน้นเป็น Tendre Poison อยู่ แบบขวดสเปรย์ขนาด 7ml นั้นน่าจะมาจากชุด Christian Dior Voyage Set รวมกลิ่นของสมัยนั้น มีขวดจุกแก้วของ Poison ขนาดไม่ค่อยเจอ 15ml และ ขวดสเปรย์พกพา ของ Poisonและ Dune

La Collection Exclusive Christian Dior 5ml x5

Christian Dior Forever and Ever EDT 5ml, Tendre Poison EDT 5ml, Pure Poison 7ml

Christian Dior I Love Dior EDT 5ml

Christian Dior Poison Esprit de Parfum 15ml

Christian Dior Poison EDT 7.5ml Purse Spray

Christian Dior Dune EDT 15ml

ตบท้ายด้วยกลิ่นที่ไม่ Vintage สักเท่าไหร่ แต่ก็อยู่ใน Theme จาก Dior นั่นก็คือ Poison Girl Edp ขวด 100ml เหลือครึ่งขวดเอามาไว้ใช้งานเพราะชอบกลิ่นของรุ่น EDP มากๆ หอมน่ากิน น่าดมสุดๆ กลิ่นไม่โบราณใช้งานจริงได้ดี และขวด Roller Pearl ของ Poison Girl รุ่น EDT เอามาเก็บเพราะขวดรุ่นนี้ไม่มีขายทั่วไป หาซื้อยาก ขวดนี้ก็ได้แบบกล่อง Tester มา ตัวจริงสวยดี สวยกว่าขวดของ Miss Dior Roller Pearl อีก

Dior Poison Girl EDP 100ml Tester

Dior Poison Girl EDT 20ml Roller Pearl

Perfume Blog: Diptyque L’Eau Papier EDT [2023]

Diptyque L’Eau Papier ออกมาในปี 2023 เป็นน้ำหอมความเข้มข้น Eau De Toilette ในตระกูล Woody เป็นกลิ่นที่มีแรงบันดาลใจจากจินตนาการ และช่วงเวลาที่พิเศษอย่าง น้ำหมึก และกระดาษได้สัมผัสกัน มีโน๊ตกลิ่นของ Rice Steam Accord, White Musks, Mimosa, Blonde Woods Accord รวมกันให้สัมผัสหลากหลายของ Musks เปรียบดังหยดหมึกบนแผ่นกระดาษ ด้วยโน้ตกลิ่น Rice Steam ได้สร้างภาพผิวสัมผัสของผิวกระดาษที่เติมความโปร่งใสด้วย Mimosa ผสามกับโน้ตกลิ่น Blonde Wood เป็นพื้นหลัง

ความรู้สึกแรกรู้สึกถึงกลิ่นหอมเย็นสะอาดคล้ายมักส์บางเบา แต่ก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมครีมนุ่มอับชื้นเหมือนกลิ่นไอน้ำของข้าวหุงสุกใหม่ ให้ความรู้สึกสงบอบอุ่น จากนั้นกลิ่นจะเริ่มมีกลิ่นดอกไม้แทรกแหลมขึ้นมา แต่ยังคงไม่ทิ้งกลิ่นหอมนวลแบบกลิ่นข้าวสุกไว้ในพื้นหลัง มันรวมกันแล้วให้กลิ่นที่หอมดอกไม้และก็หืนๆ ตุ่นๆ ของกลิ่นไอน้ำอับชื้นไปพร้อมๆ กัน หอมนะ แต่ก็แปลกไปในเวลาเดียวกัน ช่วงกลางไปถึงช่วงหลังของกลิ่นนั้นให้กลิ่นแบบมักส์โปร่งเย็น ซ่าฟุ้งๆ แบบกลิ่นติดผิวไปจนจบกลิ่น

เรียกว่ากลิ่นนี้ค่อนข้างเป็นกลิ่นที่แปลกใหม่ ไม่เคยรู้สึกถึงกลิ่นแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน ให้อารมณ์ของกระดาษหนาๆ สีขาวที่ซึมซับน้ำ สี หมึกได้ดี ถ่ายทอดกลิ่นเป็นภาพได้ดีด้วย ช่วงกลิ่นของข้าวสุกนั้นเรียกว่าเกินความคาดหมายไม่คิดว่าจะแปลกแบบนี้ ส่วนของกลิ่นดอกไม้ที่แทรกเข้ามาโดดเด่นในช่วงกลางนั้นมันหอมหวน เบาสบาย ให้อารมณ์ลอยๆ อย่างนั้นเลย

ส่วนตัวแล้วกลิ่นมันหอม ให้กลิ่นสะอาด กลิ่นสะอาดที่อบอุ่น มีกลิ่นดอกไม้มาเสริมกลิ่นให้ดูพลิ้วไหว เบาสบายทำให้กลิ่นไม่อบอุ่น หนึบหนับจากกลิ่นแนวมักส์ชื้นๆ จนเกินไป แต่ มีแต่สิ่งแรกที่รู้สึกนั้นคิดว่ากลิ่นมันหื่นเกินไป หอมหืนๆ เหนอะหน่ะ อับๆ ไม่สดชิ่นสักเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะใช้ในฤดูร้อนอันโหดร้ายของประเทศไทยในตอนนี กลัวคนอื่นจะคิดว่ากลิ่นเสื้อซักไม่แห้งไปอีกแนะ นี่แค่ First Impression นะ

ถึงยังไงก็นึกสนุกหยิบมาลองใช้งานจริงสักวันดูว่ามันจะเป็นยังไง? วันถัดไปก็จัดการลองใช้เต็มวันดู ก็ได้ผลเหมือนตอนลองกลิ่นนั่นละ ให้กลิ่นช่วงแรกที่แปลกแบบกลิ่นข้าวสวยร้อนๆ สุกใหม่ในช่วงเปิด แทรกด้วยกลิ่นดอกไม้หอมโชยเย็นๆ มาตามลม พอเวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงก็จะเหลือแค่กลิ่นมักส์ซ่า มันๆ ออกไปทางกลิ่นหืน แบบกลิ่นน้ำหอมราคาประหยัดติดผิว ติดเสื้อผ้าไปทั้งวัน

กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ค่อนข้างอ่อน ไม่มีพลังพอที่จะฟุ้งกระจายมากเท่าไหร่ ฟุ้งได้แค่ช่วงต้นที่ฉีด สักครึ่งชั่วโมงก็กลายเป็นกลิ่นติดตัวที่ลอยรอบๆ ตัวเราเท่านั้น เป็นกลิ่นติดตัวที่ดูหนึบหนับ ชื้นเหนอะ แต่กลิ่นแบบนี้บางคนเขาว่าเป็นกลิ่นออกแนวสะอาด กลิ่นเสื้อผ้าซักใหม่อะไรประมาณนั้น คิดว่าถ้าพกไปฉีดเติมความสดชื่นช่วงบ่าย รึว่าช่วงก่อนกลับบ้านก็อาจจะช่วยให้กลิ่นดูหอมขึ้นได้

สรุปแล้วกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ก็หอมนั่นละ หอมแปลกเฉพาะกลุ่ม เป็นกลิ่นที่หอมสะอาด แต่ไม่ฟุ้งกระจาย ทำให้ดูเป็นกลิ่นที่ไม่ทนเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวว่ากลิ่นนี้มันหอม แต่กลิ่นหอมดูไม่สมราคาเลย กลิ่นช่วงหลังที่ดูจะเป็นกลิ่นหลักนั้นดูเป็นกลิ่นน้ำหอมราคาประหยัดแบบกลิ่นน้ำหอมที่เจอได้จากพวกน้ำหอมดาราฮอลลีวูดทั่วไปด้วยซ็ำ

Gallery: Diptyque L’Eau Papier EDT 2023

Perfume Blog: ลองกลิ่น THE ORIGINAL TRILOGY – Christian Dior Eau Noire, Cologne Blanche และ Bois D’Argent 2022

ครั้งนี้จะมาลองกลิ่นน้ำหอมใหม่ ที่ไม่เชิงจะเป็นกลิ่นใหม่ แต่เป็นกลิ่นที่หายจากเคาน์เตอร์ไปนานกลิ่นนึง นั่นคือ Eau Noire จาก Christian Dior โดยถูกนำกลับมาใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ผู้สร้างกลิ่นนี้อย่าง Francis Kurkdjian นั้นได้กลับมาเป็น Perfume Creation Director ในปลายปี 2021 ที่ผ่านมา โดยช่วงต้นปี 2022 ก็มีชุดเซ็ตกลิ่น 3 กลิ่น ที่รวม Eau Noire ออกมาเป็นรุ่น Limited จาก Francis Kurkdjian ทั้ง 3 กลิ่นเป็นชุดกลิ่นที่แสดงถึงความสง่างาม และแสดงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมในโน๊ตกลิ่น อย่างโน๊ตของ Lavender, Orange Blossom และ Iris

ชุดกลิ่น 3 กลิ่น ที่ชื่อว่า THE ORIGINAL TRILOGY – LIMITED EDITION ประกอบด้วยกลิ่น Eau Noire, Cologne Blanche และ Bois D’Argent มาในขวดขนาด 40ml ชุดนี้ในเว็บของ Dior ก็ประมาณ 11,000.- บาท เป็นราคาตอนที่วางจำหน่ายเมื่อต้นปี 2021 ตอนนี้ชุดนี้น่าจะไม่มีจำหน่ายแล้วแล้ว แต่จะมีจำหน่ายแยกเป็นกลิ่นในขนาดปกติทั้ง 3 ขนาดแทน

ทั้ง 3 กลิ่นที่บล็อกได้มาเป็นแบบขวด Miniature ขนาด 7.5ml ตามเก็บมาทีละขวดตั้งแต่ปีก่อน จนตอนนี้ครบชุดแล้วก็ได้โอกาสเอามาลองกลิ่นลงให้อ่านกัน เรามาลองกลิ่นกันดีกว่า

Christian Dior Bois D’Argent EDP

เปิดมาแบบกลิ่น Iris นวลเนียน พร้อมกลิ่นหอมบางเบาที่ให้สัมผัสของกลิ่นแบบ Musk ในพื้นหลังแบบที่กลิ่นดูชื้นฉ่ำแบบผ้ากำมะหยี่นุ่ม ตามด้วยกลิ่นหอมเครื่องเทศหอมซ่าเบาๆ เสริมให้กลิ่น Iris และ Musk ดูมีมิติไม่นุ่มจนเกินไป มันเป็นกลิ่นที่หอมเย็น หวานนวลเบา ติดเครื่องเทศจางๆ อารมณ์แบบนี้ไปจนจบกลิ่น

กลิ่นนี้ให้กลิ่นที่หอมเบา เบาและบางเฉียบที่สุดในชุดเลย  เป็นกลิ่นละมุน หรูหราเหมือนกัน ได้กลิ่นแล้วนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่ผ่านมา บอกไม่ถูก กลิ่นมันนุ่มเบาเหมือนขนนก ปุกปุยเหมือนนุ่น สะอาดเหมือนผ้าปูที่นอนใหม่อะไรแบบนั้น จะว่าไปกลิ่นโดยรวมกันก็เหมือนกับพวกกลิ่นใบชาที่หอมเย็นติดซ่านิดๆ ในท้ายกลิ่นด้วย หอมดีจริงๆ กลิ่นนี้

เป็นอีกลิ่นที่ให้กลิ่นดี สมกับที่เลือกมาไว้ในชุดกลิ่นนี้ แต่เสียดายที่กลิ่นมันไม่ค่อยฟุ้งสักเท่าไหร่ ออกแนวกลิ่นติดตัวที่แรงหน่อย แต่ไม่แรงพอที่จะกระจายออกไปไกล ทำให้กลิ่นมันค่อนข้างจะจางหายไปเร็วตามช่วงเวลาที่ผ่านไป คิดว่าไม่สมราคาสักเท่าไหร่

สำหรับกลิ่นที่รู้สึกว่าคล้ายกับกลิ่นนี้ก็ Amber Niute จาก Dior เหมือนกัน ให้กลิ่นที่คล้ายในช่วงกลางกลิ่นไปแล้ว แถมกลิ่นแรงติดทนกว่าด้วย อีกกลิ่นที่นึกถึงก็ Diptyque Fleur de Peau ที่ให้กลิ่น Iris แนวหอมเย็นในช่วงต้นคล้ายกัน แต่ Diptyque ให้กลิ่นที่แรงกว่า หอมเย็นสะใจกว่า และติดทนกว่าอีกด้วย

Christian Dior Cologne Blanche EDP

เปิดกลิ่นมาแบบกลิ่นหอมหวานแนวส้ม กับกลิ่นเครื่องเทศเอียนๆ มาพร้อมกับความนวล ให้อารมณ์แป้งหอมเนื้อแน่นหนัก รวมกันแล้วเป็นกลิ่นที่หอมหวานเอียนแปลก มีความขมจางๆ แบบกลิ่นหวานขมนวลของ Almond ที่คุ้นเคยแทรกมาในพื้นหลัง เมื่อผ่านช่วงแรกไปสักพักให้กลิ่นที่หอมเย็น แนวแป้งหอมฟุ้งๆ หวานแห้งแบบกลิ่นวนิลาขมที่ให้ความรู้สึกสะอาด

กลิ่นสะอาดๆ หอมหรู ที่ไม่เหมือนกลิ่นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด แต่เหมือน “กลิ่นเครื่องสำอาง” มากกว่า กลิ่นหอมดีมาก หอมเย็นติดหวานที่แปลกมีเสน่ห์ คงเป็นเพราะกลิน Almond ในพื้นหลังที่ทำให้รู้สึกหนึบๆ มันๆ เหมือนกลิ่นดินปั้นอะไรสักอย่าง อาจจะดูเป็นกลิ่นแปลก กลิ่นสารเคมีถ้าไม่คุ้นกับกลิ่นแบบนี้ ส่วนตัวชอบกลิ่นหวานติดขมแบบนี้ เหมือนกลิ่นใน Hypnotic Poison ที่ตัดความหวานเลี่ยนออกไป ลงตัวดี

โดยรวมให้กลิ่นหอมแนวแป้ง หอมเย็น กลิ่นสะอาด มีกลิ่นส้มแซมบางๆ พอสดชื่นไม่แป้งเกินไป ตบท้ายด้วยกลิ่น Almond โดดออกมาพาให้ดูเป็นคนสำอางค์ ให้กลิ่นแบนนี้ไปจนจบกลิ่น แต่ไม่รู้สึกถึง Vanilla สักเท่าไหร่คงรวมๆ อยู่ในกลิ่นนั่นละ กลิ่นนี้เหมาะกับใช้เป็นกลิ่นติดตัวสุดกลิ่นดูสะอาดตลอดเวลา และเหมาะกับอากาศร้อนด้วยไม่ฉุน

Christian Dior Eau Noire EDP

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นสมุนไพร กลิ่นรากไม้แห้งๆ ขม หวาน เค็มๆ มีกลิ่นไหม้แบบกลิ่นกาแฟ ผสมปนเป แบบน่าสับสนในกลิ่นเปิด ทิ้งให้กลิ่นแห้งไปสักพักกลิ่นเปิดแรงๆ เริ่มจางลงแต่ยังคงไว้ในกลิ่นสมุนไพรขม ติดกลิ่นกองไฟไหม้ๆ คล้ายกลิ่นไม้ติดไฟหอมคมๆ ของกลิ่นไม้ช่วงไฟใกล้จะมอด ผ่านไปช่วงกลางของกลิ่นนั้นกลิ่นจะเริ่มนุ่มขึ้น และแทรกด้วยกลิ่นแนวดอกไม้ขรึม กับกลิ่นแผ่นหนังหน่อยๆ จะว่าหอมก็หอมนั่นแหละ หอมแบบมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

กลิ่นแปลกดี ให้ความสับสนในกลิ่นว่ามันจะหอม หรือจะไม่หอมดี ให้กลิ่นหอมแนวสมุนไพร เครื่องเทศแห้ง ติดเขียว มีความขม-หวานแปลกแบบน่าสนใจ แต่ไม่ฉุนกลับรู้สึกโล่งด้วยกลิ่นคมๆ ขมๆ แบบกลินเมล็ดกาแฟไหม้ และกลิ่นเครื่องแกงกะหรี่บางๆ หอมชัดเจนในช่วงหลังของกลิ่น

ถึงอย่างนั้นกลิ่นก็ไม่เหมือนไปกินแกงกะหรี่มาแบบ Eau Noire น้ำเขียว ปี 2004 กลิ่นรุ่นใหม่นี้ให้ความสดชื่นแบบแยกออกว่าเป็นกลิ่นน้ำหอม ให้กลิ่นแนวน้ำหอม Woody ชัดขึ้นดูขรึมขึ้น เท่ห์ขึ้นเยอะ

ในกลิ่นเก่านั้น เปิดมาหอมแนวสมุนไพรอมเปรี้ยว ติดเขียวสดชื่นโดดเด่น อย่างกับเด็ดกิ่งสมุนไพรมาดมอย่างนั้น กลิ่นหอมเข้มติดขมในพื้นหลัง ปล่อยให้กลิ่นแห้งผ่านไปสักพักจะรู้สึกถึงความเป็นกลิ่นเครื่องเทศแกงกะหรี่ เค็ม หวาน แต่หอมเย็นของ Lavender แซมกลิ่นไม้แห้ง กับกลิ่นหนังแข็งๆ อย่างกับกลิ่นตู้เก็บเครื่องปรุงในห้องครัวอย่างนั้นละ ช่วงหลังของกลิ่นที่ให้กลิ่นสมุนไพร-เครื่องเทศอ่อนนุ่ม โปร่งใส แต่ก็ยังคงให้อารมณ์กลิ่นแกงกะหรี่อยู่

ส่วนตัวพอเอาทั้ง 2 รุ่นมาลองกลิ่นพร้อมกันแล้วชอบกลิ่นของรุ่นเก่ามากกว่า ให้กลิ่นที่เบา นุ่มนวล โปร่งใส และน่ากินกว่า แต่กลิ่นไม่เบาอย่างที่คิด ยังคงเป็นน้ำหอมกลิ่นแรงเหมือนกันอยู่ แค่ไม่โฉ่งฉ่างกระแทกจมูกแบบในรุ่นใหม่ก็เท่านั้นเอง แถมกลิ่นช่วงท้ายในุร่นเก่านั้นยังคงโปร่งใส สว่าง นุ่มกว่าด้วย

แอบแถมลองกลิ่น Eau Noire รุ่นเก่าให้ไปด้วยอีกนิด เป็นรุ่นที่น้ำสีเขียวสวยมาก รุ่นนี้ได้แบบแบ่งขายมาหลายปีแล้ว จำได้ว่าลองกลิ่นสเปรย์แรกนั้นให้อารมณ์กลิ่นเครื่องแกงกะหรี่วิ๊งๆ ไปตลอดวัน จะหอมก็หอม จะฉุนก็ฉุน ให้กลิ่นน่ากินมาก ครั้งนี้เอามาลองใหม่กระตุ้นความจำ แต่อยากบอกว่าพอได้ลองกลิ่นรุ่นเก่าอีกครั้งกลับรู้สึกว่ามันหอมแรงแต่นุ่มลึกขึ้นมาก คงเป็นเพราะประสบการณ์ลองกลิ่นมั่วๆ ที่ผ่านมาด้วยละมั้งเลยทำให้ชอบกลิ่นรุ่นเก่ามากขึ้นไปอีก

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Calvin Klein ESCAPE EDP 50ml

วันนี้ก็ยังคงอยู่กับ ESCAPE จาก Calvin Klein แต่จะเป็นรุ่นของผู้หญิง หรือเป็น ESCAPE กลิ่นแรกนั่นเอง ที่เลือกกลิ่นนี้เอามาลองกลิ่นก็เพราะไปเห็นขวดรุ่นเก่าที่ฝาด้านในเป็นจุกแก้วแบบแต้ม เป็นขวดยุคแรกๆ มา เห็นราคาไม่แพงขวดก็ดูเรียบง่ายสวยดีเลยเอามาเก็บ พอขวดมาถึงเปิดกล่องได้กลิ่นหอมลอยเด่นออกมาตั้งแต่ยังไม่เปิดกล่อง คิดว่าน้ำหอมหกซะแล้วสิ เป็นกลิ่นหอมแปลก ได้กลิ่นแล้วรู้สึกเปรี้ยวปาก สดชื่นดีบอกไม่ถูก นี่แหละเป็นความชอบตั้งแต่เริ่มแรกสำหรับกลิ่นนี้ แล้วขวดต่อไปมันก็ตามมาเรื่อยๆ จนเยอะพอสมควร ครั้งนี้เลยถือโอกาสเอามาลองกลิ่นเล่าให้อ่านกัน

Calvin Klein ESCAPE ออกมาในปี 1991 เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Floral Aquatic มีโน๊ตกลิ่นจาก Melon, Chamomile, Marigold, Tagetes, Apricot, Hiacynth, Oakmoss, Apple, Coriander, Mandarin Orange, Ylang-Ylang, Black Currant, Cassia and Litchi, Peach, Lily-of-the-Valley, Carnation, Rose, Jasmine and Cloves, Oakmoss, Musk, Amber, Sandalwood, Vetiver, Cedar, Vanilla

กลิ่นเปิดแรกให้กลิ่นหอมแรงของดอกไม้ฉุน เผ็ด-ซ่า อมเปรี้ยวติดกลิ่นเขียวฉ่ำในพื้นหลัง ให้อารมณ์กลิ่นน้ำมันเครื่องจางๆ หรือกลิ่นยางพลาสติกสังเคราะห์ที่หอมพิลึก เป็นกลิ่นเปิดที่โดดเด่นรุนแรงมาก กลิ่นมีความหวานเหนอะ เลอะๆ แต่ก็มีเสน่ห์อยากดมไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปสักพักกลิ่นซ่าตอนต้นเริ่มจางลงทำให้รู้สึกถึงความหอมหวานอวลกรุ่น แนวกลิ่นลูกลูกพืชสุกฉ่ำ ผสมกับกลิ่นอมเปรี้ยวเหนอะหน่ะตอนต้นที่ยังคงกรุ่นอยู่ ทำให้กลิ่นมันออกคาวๆ หอมยั่วยวนยังไงไม่รู้ ช่วงกลางของกลิ่นนั้นให้กลิ่นหอมเปรี้ยวนำ ผสมกับกลิ่นหวานกลม พร้อมกับกลิ่นไม้หอมโปร่งเบา และกลิ่นหอมซ่าแบบกานพลูในพื้นหลัง เป็นมิติกลิ่นที่แปลกและหอมแบบนี้ไปจนจบกลิ่น

กลิ่นนี้เป็นอีกกลิ่นที่กลิ่นบนผิว และกลิ่นบนกระดาษลองกลิ่น แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ บนผิวกลิ่นจะให้ความหอมซ่าฟุ้งอมเปรี้ยวแรง กลิ่นอบอุ่นน่าดมกว่ากลิ่นบนกระดาษ กลิ่นบนกระดาษจะออกไปทางกลิ่นเขียวแหลมปนกับกลิ่นหวานแนวผลไม้สุก ดูกลิ่นไม่มีความสว่างใสเท่าบนผิว

จริงๆ มันเป็นกลิ่นที่แยกโน๊ตกลิ่นแต่ละโน๊ตแทบไม่ออกเลย ทำได้แค่เทียบกลิ่นจากโน๊ตกลิ่นในเว็บเท่านั้น กลิ่นมันแปลก มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ได้กลิ่นแค่แว๊ปแรกก็ทำให้น่าสนใจแล้ว กลิ่นที่แรงเตะจมูก ให้เอกลักษณ์ของน้ำหอมยุค 90 ชัดเจนไม่ปิดบัง อาจจะฉุนหน่อยตอนช่วงต้น แต่ปล่อยให้กลิ่นเริ่มแห้งผสมกับความอุ่นบนผิวแล้วจากนี้ละ กลิ่นมันจะฟุ้งตลบ ความหอมแปลกที่จะได้สัมผัส ทำให้น้ำลายสอจนละจมูกจากกลิ่นไม่ได้เลย

อย่างที่เล่าไปข้างบน ESCAPE นี้เป็นน้ำหอมกลิ่นแน่น กลิ่นแรงตั้งแต่กลิ่นเปิด ดังนั้นความฟุ้งกระจายไม่ต้องพูดถึง ฟุ้งสมใจ และกลิ่นก็ติดทนยาวนานมาก ให้ความฟุ้งอวลรอบตัวตลอดเวลาอีกด้วย เคยลองกลิ่นแบบฉีดใส่กระดาษแทรกในสมุดบันทึกทำงาน กลิ่นมันติดสมุดนานเป็นเดือน

สำหรับกลิ่นนี้มันก็จะออกไปทางกลิ่นยุค 90 หรือน้ำหอมยุคเก่าหน่อย ไม่มีความหอมใสละเอียดอ่อนเหมือนน้ำหอมยุคปัจจุบัน ดังนั้นมันก็เหมาะกับคนที่พอมีวุฒิภาวะหน่อยนึง กลิ่นในวัยทำงาน ถึงวัยเจ้าของกิจการนี่กำลังดี กลิ่นดูภูมิฐาน ดูแตกต่าง มีเอกลักษณ์ แอบยั่วหน่อยๆ ด้วย มีเสน่ห์สมกับยุค 90 ของเขาละ

ESCAPE จาก CK นี้ตามขวดรุ่นเก่าๆ มาเก็บได้เพิ่มอีกสองสามขวด ได้ขวดสเปรย์ขนาดเล็กที่สามารถรีฟิลน้ำหอมได้ด้วยมาขวดนึง รุ่น Parfum ขวดจิ๋วมาอีกขวด ล่าสุดก็ได้ขวดสเปรย์รุ่นปัจจุบันมาอีกขวด แต่ยังไมได้เอามาลองกลิ่นว่ากลิ่นปัจจุบันยังคงดีเหมือนเดิมไหม

รุ่นขวดเก่ามีข้อสังเกตนิดนึงคือ ชอบมีปัญหาเรื่องหัวสเปรย์เกือบทุกขวด เพราะพลาสติกตรงรูสเปรย์แตกร้าว ทำให้ฉีดออกมาน้ำกระจายไปคนละทิศคนละทาง และบางส่วนก็ไหลอยู่ในหัวสเปรย์น่าเสียดายมาก ที่สำคัญเอาหัวสเปรย์ยุคปัจจุบันไปเปลี่ยนแทนไม่ได้อีกด้วย แกนเสปรย์ใหญ่และแปลกมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน หัวสเปรย์สมัยใหม่ไม่น่าจะฟิต ต้องฉีดไปเช็ดหัวไป แต่ก็แลกมาด้วยความหอมแน่นตราตรึงใจก็พอได้อยู่

Calvin Klein ESCAPE EDP 50ml

Calvin Klein ESCAPE EDP 50ml

Calvin Klein ESCAPE EDP 50ml [Manufacture: Coty Prestige]

Calvin Klein ESCAPE Perfume Purse Spray Refillable 10ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Nina Ricci Deci Dela EDT Concentree

วันนี้มาลองกลิ่นน้องถั่วทอง หรือ Nina Ricci Deci Dela ที่มีถั่วสีทองวางอยู่บนขวดโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นั่นเอง เคยเห็นผ่านตามาตั้งแต่เด็กคิดในใจว่ารูปร่างมันตลกดี ไม่เชิญชวนให้หามาเก็บสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้โอกาสดีที่จะเอามาลองกลิ่นสักครั้ง เพราะได้มาเพื่อจะเอามาลงขายในร้านของบล็อกนั่นเอง และก็ได้ขวดเล็กแบบ Parfum หัวสเปรย์มาด้วย แต่ไม่ได้เอามาลองกลิ่นนะเพราะเท่าที่ลองดมดูกลิ่นมันก็ค่อนข้างคล้ายกันกับตัว EDT Concentree

Nina Ricci Deci Dela ออกมาในปี 1994 เป็นกลิ่นแนว Chypre Fruity มีโน้ตกลิ่นของ Apricot, Peach, Raspberry, Red Currant, Boronia, Sweet Pea, Rose, Freesia, Jasmine, Resins, Patchouli, Cypress, Vanilla, Sandalwood

กลิ่นเปิดมาแบบกลิ่นพีช แอปปริคอท หอมอุ่นๆ แต่ก็มีความเย็นสดชื่นแทรกมาในกลิ่น ที่ทำให้กลิ่นโดยรวมหอมไปทางกลิ่นแป้งๆ นวลหวานติดเปรี้ยวจาง เป็นกลิ่นที่ให้อารมณ์ยุค 90 ดี คือแนวกลิ่นหอมแรงอบอุ่นหวานอึน มาพร้อมกับกลิ่นเย็นตุ่นคลอมาเป็นระยะ หรือจะว่าง่ายๆ ก็เป็นน้ำหอมกลิ่นแรงนั่นละ เป็นกลิ่นที่จะให้อารมณ์กลิ่นวัยรุ่นแต่ก็มีความภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่ ประมาณว่าอยากจะเป็นเด็ก แต่ก็อยากจะดูเป็นผู้หญิงที่โตขึ้นหน่อย ดูมีเสน่ห์ฉลาด แต่ก็ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ แบบกลิ่นที่สับสนในตัวเองประมาณนั้น

ช่วงกลางของกลิ่นไปแล้วนั้นให้กลิ่นที่หวานฉ่ำชัดขึ้นมาแบบกลิ่นบ๊วยเค็มแห้งผสมกับกลิ่นหอมของลูกพีชเก่าๆ มีกลิ่นเขียวเยิ้มลอยอยู่ในพื้นหลังที่ให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะ กับกลิ่นควันจางๆ กลิ่นช่วงนี้มันทำให้นึกถึงแฟชั่นเสื้อสูทไหล่ตั้งตัวโคล่งสีสดที่นิยมช่วงยุคนั้นเลยจริงๆ จะว่าไปกลิ่นมันก็มีเสน่ห์ตามยุค ตามช่วงเวลาที่มันถูกสร้างขึ้นมานั่นแหละ มาได้กลิ่นในปัจจุบันมันก็เป็นกลิ่นที่ดูเก่า โบราณไปแล้ว แต่ส่วนตัวที่โตมาในยุคนั้นมันก็เป็นกลิ่นที่ทำให้นึกถึงความหลัง ความทรงจำสมัยนั้นขึ้นมานี่แหละเสน่ห์ของกลิ่นน้ำหอม ไม่เสียเวลาที่หยิบกลิ่นนี้มาลองมันทำให้ความรู้สึกของยุคที่ตัวบล็อกยังเด็กมันกลับมาอีกครั้ง

Deci Dela นี้ถือว่าเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นหอมมีเสน่ห์อีกกลิ่นของยุค 90 เลยละ กลิ่นที่ให้ความมั่นใจ เป็นผู้ใหญ่แบบอบอุ่น เรียกว่าไม่แพ้เพื่อนร่วมรุ่นที่รู้จักอย่าง Christian Dior Dolce Vita กับกลิ่นอื่นๆ ที่จำชื่อไม่ได้อีกเยอะเลย

Nina Ricci Deci Dela EDT Concentree 50ml

Nina Ricci Deci Dela Parfum 7.5ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: ZARA Red Temptation EDP + Red Temptation Winter EDP

Zara Red Temptation ออกมาในปี 2020 เป็นกลินที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น มีเอกลักษณ์จากโน๊ตกลิ่นของ Saffron, Coriandar, Bitter Orange, Jasmine, Praline, Moss, Woody Amber, Musk เป็นกลิ่นที่โด่งดังอีกกลิ่นของ Zara ที่คนที่ลองใช้ส่วนใหญ่ยกให้เป็นกลิ่น Dupe ของ Baccarat Rouge 540 แบบใกล้เคียงที่สุด ทั้งกลิ่น และความทนทาน ในราคาที่ถูกกว่าเกือบ 90% เลยทีเดียว ในไทยก็มีพูดถึงกันมาสักพักไม่นานนี้จนทำให้เกิดความอยากลองขึ้นมาว่ากลิ่นมันจะเหมือนสักแค่ไหนกันเชียว ตัวบล็อกเคยลองกลิ่นของ Baccarat Rouge 540 มานานแล้วจำได้แค่ว่ากลิ่นมันหวาน หวานมากที่รู้สึกแค่ว่ากลิ่นมันเหมือนน้ำตาลไหม้อย่างเดียวเลย ตอนแรกไม่ชอบเท่าไหร่แต่พอได้ใช้งานไปจนหมดขวดแบ่งขายที่ได้มา กลับชอบและคิดถึงกลิ่นนี้มาก แต่ด้วยราคาที่แพงเอาเรื่องก็ทำได้แค่เก็บไว้เป็นลิสรายการที่อยากได้เท่านั้น หาก Zara Red Temptation นี้ให้กลิ่นที่เหมือนจริงอย่างว่าก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

สเปรย์แรกรู้สึกถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ชัดเจนตามสไตล์น้ำหอม Zara จากนั้นกลิ่นหวานเยิ้ม ฉ่ำๆ คมๆ ลอยขึ้นมาคู่กับกลิ่นเครื่องเทศหอมฉุนบางๆ ที่ทำให้นึกถึงกลิ่นของ Baccarat Rouge 540 ในทันที ด้วยความหวานแบบที่หวานแหลมแทงจมูก หวานแบบพลาสติก หวานแบบเบเกอร์รีครีมฉ่ำ หวานแบบน้ำตาลไหม้ ความหวานแบบนี้ละที่ทำให้นึกถึง Baccarat Rouge 540 แบบที่เปลี่ยนความคิดไปไม่ได้เลย เพราะเคยลอง Baccarat Rouge 540 มาก่อนหน้านี้แล้วก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกันนี้เลย

ส่วนตัวได้ลองใช้มาสองสามวันบอกได้เลยว่ากลิ่นมันฟุ้ง กลิ่นมันหอมเหมือนกันมาก และติดบนเสื้อผ้านานข้ามวันเหมือนกัน เพียงแค่กลิ่นบนผิวมันจะหอมฟุ้งกว่าแต่ก็จางไวกว่าบนเสื้อผ้าหน่อย ฉีดตอนเช้า ช่วงบ่ายยังคงได้กลิ่นวนเวียนอยู่รอบตัว รูสึกดีมากๆ แนะนำเลยคุ้มค่าที่สุด ชอบตรงที่ให้กลิ่นติดตัวแบบหวานแบบผู้ใหญ่ ดูน่าเข้าใกล้ ดูน่าสนใจดี บอกไม่ถูกต้องลองเอง

สุดยอด! ไม่คิดว่ากลิ่นจะเหมือนกันขนาดนี้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าไม่ใช่ Baccarat Rouge 540 เพราะกลิ่นของ Baccarat Rouge 540 มันหวานฉ่ำแบบนุ่มทุ้ม ติดแหลมหน่อยๆ อารมณ์กลิ่นน้ำตาลไหม้เกรียมเยิ้มๆ แต่ของ Zara จะออกไปทางหวานเหมือนกันแต่หวานแหลมแทงจมูกกว่า มีความอมเปรี้ยวหน่อยๆ ไม่นุ่ม กลมทุ้มเท่านั้นเอง แต่อย่างที่บอกแค่ดมผ่านๆ ไม่ทันได้แยกออกแน่ มันดีมากๆ ที่มีกลิ่นแทียบที่สามารถหามาใช้งานแทนกลิ่น Baccarat Rouge 540 ได้อย่างไม่ลังเล สำหรับคนที่ชอบกลิ่นหวานแนววนิลาที่ไม่ใช่หวานแบบขนมหวาน แต่ให้กลิ่นแบบเครื่องเทศหวานๆ ดูเป็นผู้ใหญ่ เป็นทางการ อบอุ่น และชอบกลิ่นของ Baccarat Rouge 540 คงจะถูกใจมากแน่นอน จากราคาที่ถูกกว่ามากๆ แค่หลักพันต้นๆ สำหรับ 80ml ที่ให้กลิ่น และประสิทธิภาพของกลิ่นที่ทนทานไม่แพ้ต้นฉบับอีกด้วย


ZARA RED TEMPTATION WINTER กลิ่นที่สานต่อจากตัวแรกที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นกลิ่น Dupe ของน้ำหอมตัวแพง Baccarat Rouge 540 โดยรุ่น WINTER ออกมาในปี 2022 นี่เอง มีโน้ตกลิ่นของ Saffron, Sweet Notes, Cedar, Patchouli กลิ่นนี้เห็นว่าจะมาเป็น Dupe ตัว Extrait ของ BR540 ทำให้มันน่าสนใจที่จะเอามาลองกลิ่นอีกสักขวด โดยที่ขวด WINTER นี้หาซื้อค่อนข้างยากแต่ในที่สุดก็หามาลองกลิ่นได้

กลิ่นเปิดมาให้อารมณ์ของ 540 ในแว๊ปแรก แต่แล้วก็เปลี่ยนโดยที่กลิ่นเปิดแบบหวานนุ่มติดขมแซมกลิ่นแนวเครื่องเทศอุ่นโปร่งๆ คลอกลิ่นมาตั้งแต่ต้น ที่รีวิวต่างประเทศให้ความเห็นว่ามันเป็นกลิ่นของ Saffron นำไปกับกลิ่นหวานนวลแบบน้ำตาลเชื่อมของกลิ่นในช่วงแรก สักพักกลิ่นแนวดอกมะลิเริ่มแทรกขึ้นมาให้รู้สึกนิดๆ แต่ไม่แรงพอที่จะกลบกลิ่นเครื่องเทศหวานๆ ตั้งแต่แรกได้ ทำให้กลิ่นช่วงนี้มันหอมหนึบๆ เยิ้มเหมือนกลิ่นหนังยางใหม่ที่อยู่รวมกันในถุงอะไรประมาณนั้น เมื่อกลิ่นผ่านไปสักพักใหญ่กลิ่นไม้หอมเริ่มลอยออกมาคลอในพื้นหลังของกลิ่นหวานนั้น กลิ่นที่ชัดออกมาเลยก็กลิ่นหอมของ Patchouli เด่นมาก ยิ่งทำให้กลิ่นมันหอมทุ้มขึ้นไปอีก ในช่วงหลังยังคงเป็นกลิ่นหวาน กับ Patchouli นุ่มไปจนจบกลิ่น

หลังจากได้ลองใช้มาสักพักกลิ่นนี้ให้ความฟุ้งกระจายที่กำลังดี มีเนื้อกลิ่นที่แน่นตินทนน่าพอใจ โดยเฉพาะบนเสื้อผ้าที่ทนไม่แพ้ Red Temptation ดั้งเดิมเลย แต่ต้องระวังไม่สเปรย์เยอะเกินไปถึงจะใช้ในช่วงอากาศเย็นก็เถอะ ก็อาจจะทำให้มึนหัวได้เลย

เอาเป็นว่าเล่าถึงกลิ่นนี้นั้นสามารถบอกได้ว่ามันเป็นกลิ่นที่หอมมากกลิ่นหนึ่งเลย มีความนุ่ม ความกลมเนียนของกลิ่นดีจนแปลกใจสวนทางกับราคา และกลิ่นแรงใช้ได้อีกด้วย อย่างที่เล่าไปช่วงแรกกลิ่นมันให้อารมณ์ของหนังยางใหม่ผุดขึ้นมาในความคิดแรก แต่หอมนะ กลิ่นอบอุ่นเหมือนอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ตอนอากาศหนาว กับขนมเค้กอบใหม่ที่ให้กลิ่นหอมหวานไหม้หน่อยๆ เป็นกลิ่นที่รู้สึกดีเมื่อได้กลิ่น แต่คิดว่าน่าจะทำให้คนหลายคนที่ไม่คุ้นชินกับน้ำหอมกลิ่นแบบนี้บ่นเวียนหน้า ปวดหัวเมื่อได้กลิ่นได้แน่นอน โดยเฉพาะคนที่นิยมน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ใสๆ ต้องระวังให้ดีเลยละ

ที่เขาว่ากลิ่นนี้นั้นคล้ายกับกลิ่น Baccarat Rouge 540 Extrait ตัวเข้มข้นนั้น ส่วนตัวคิดว่ามันคล้าย แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว กลิ่นของ Zara นั้นมันหวานน้อยกว่า ให้กลิ่นหวานที่นวลทุ้มกว่า มีกลิ่นเครื่องเทศแนวตะวันออกแรงอย่างที่ไม่มีใน Baccarat ยิ่งกลิ่นในช่วงหลังนี่ไม่ค่อยเหมือนเลยด้วยซ้ำ กลิ่นของ Baccarat ช่วงหลังจะให้กลิ่นหวานโปร่ง ติดกลิ่นเครื่องเทศคมที่สมูทและสดชื่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็แน่นอนทีต้องคิดว่ามันคล้ายกับ Baccarat Rouge 540 เพราะตัว Red Temptation เดิมมันเหมือนจนแทบจะแยกไม่ออก๒ ตัวใหม่นี้ก็น่าจะสานต่อมาที่ตัว Extrait ละ แต่ก็ไม่ กลิ่นแค่คล้ายเท่านั้น ส่วนตัวรู้สึกว่ากลิ่นมันให้โทนแบบ Diptyque Eau Duelle ให้กลิ่นหวานแบบวนิลาทุ้ม ปนเครื่องเทศแห้งๆ มากกว่า แต่มันก็เป็นกลิ่นที่เหมาะกับอากาศเย็นปลายปีพอดิบพอดี ยังไงก็ตามตัว Winter นั้นให้กลิ่นหอมที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ไม่ผิดฟวังแน่นอน

ZARA Red Temptation EDP 30ml, Red Temptation Winter EDP 80ml

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: DIOR TOBACOLOR EDP

ครั้งนี้ได้กลิ่นใหม่ที่หาขนาดทดลองยากมากมาลองกลิ่นกัน กลิ่นนั้นคือ TOBACOLOR กลิ่นจากกลุ่มน้ำหอมไลน์ Maison Christian Dior ที่เพิ่งเข้ามาขายในไทยแบบกล่อง Limited เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา อยากลองกลิ่นตั้งแต่เห็นออกมาเมื่อปีก่อน ด้วยที่มีโน๊ตกลิ่นหลักของใบยาสูบที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว ได้ขวดจิ๋วขนาด 7.5ml มาลองกลิ่น ว่าแล้วก็มาลองกลิ่นกันดีกว่า

TOBACOLOR ออกมาในปี 2021 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นน้ำหอมแนวกลิ่น Amber ที่ให้กลิ่นเข้มข้น เย้าวยวนแบบตะวันออก เป็นกลิ่นที่จุดประกายถึงการเดินทางที่ท่องไปด้วยความอิสระ มีโน๊ตกลิ่นจาก Tobacco, Honey, Plum, Peach

กลิ่นหอมหวานแน่น ที่ให้กลิ่นแบบใบยาสูบหวาน ทึบ ผสมกับกลิ่นของน้ำผึ้งหวานครึ้มๆ ปนกลิ่นควันไฟจาง และกลิ่นพวกขนมหวาน คลอกลิ่นโทนเครื่องเทศแนวหอมนุ่มที่ไม่เผ็ดซ่าอย่างเครื่องเทศทั่วไป  รวมกันแล้วมันนึกไปถึงกลิ่นเหล้าจางๆ ผสมกับกลิ่นยาสูบหอมอุ่นๆ เหมือนอยู่ในบาร์ที่สูบบุหรี่กันควันขโมง แต่จะว่าไปกลิ่นแบบนี้ก็ทำให้นึกถึงกลิ่นของพลาสติก กลิ่นยางสังเคราะห์ด้วยเหมือนกัน กลิ่นหอมหวานทึบที่อยากจะดมพร้อมกับความรู้สึกว่าไม่ควรดมอะไรแบบนั้น

กลิ่นหอมนุ่มมากเลยกลิ่นนี้ กลิ่นใบยาสูบหวานๆ ที่มีความแน่นของกลิ่นที่กำลังดี กลิ่นให้อารมณ์เงียบขรึม อบอุ่น หรูหน่อยๆ ดูมีสไตล์ กลิ่นแบบนี้ให้อารมณ์น้ำหอมของ Kilian บางกลิ่นอยู่เหมือนกัน ด้วยเนื้อกลิ่นที่แน่นฉ่ำแบบถึงใจแบบนี้ถ้าไม่ดูยี่ห้อก็คงคิดว่าเป็นกลิ่นสักกลิ่นจาก Kilian ละ สำหรับกลิ่นนี้ให้ภาพของผู้ชายเท่ๆ ลักษณะสันโดด รักอิสระชอบทำอะไรคนเดียวไม่สนใจใคร มีเสน่ห์มาก แต่ก็ให้ภาพของผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเอง มีความกล้าที่จะเลือก กล้าที่จะทำ แต่ก็ใส่ใจคนรอบข้างด้วย โดยโทนกลิ่นจะเอนไปทางสำหรับผู้ชายมากหน่อย กลิ่นกระจายตัวค่อนข้างดีทั้งในช่วงต้น และช่วงกลาง กลิ่นติดทนดีสมราคาอีกด้วยแค่แต้มลองกลิ่นก็ติดยาวไปเกือบทั้งวัน

เป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนน้ำหอมจาก Dior เลยสำหรับกลิ่นนี้ กลิ่นมันโดดออกจากพวกพ้องมาก ลองกลิ่นครั้งแรกก็แปลกใจเหมือนกันแต่พอลองไปสักสองสามครั้งก็โอเค ชินละ แต่ก็ไม่คิดว่า Dior จะทำกลิ่นที่ LOUD แบบนี้ มันช่างสะใจดีจริงๆ แถมอยู่ในกลุ่ม Maison Christian Dior อีกต่างหากค่าตัวไม่ต้องพูดถึง สูงลิบ ยิ่งช่วงนี้ขยันปรับราคาขึ้นเดือนต่อเดือนอีกต่างหาก ถ้ามีโอกาสก็อยากจะหามาใช้สักขวดนึง ตอนนี้คงใช้แค่ขวดเล็กจิ๋วต่อไปก่อน

Gallery: DIOR TOBACOLOR

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Lalique De Lalique EDP+EDT [Vintage]

วันนี้เอา Lalique De Lalique มาลองกลิ่น ได้ขวดสเปรย์แบบรุ่น EDP กับ EDT มาในราคาถูกมาก ดูจากหน้าตาขวดแล้วน่าจะเป็นรุ่นเก่าอยู่สักหน่อยเลยจะเอามาเล่าในบล็อก “Vintage Monday” ละกัน เป็นกลิ่นแรกจากยี่ห้อนี้ที่ลองกลิ่นเล่าลงบล็อก Lalique ที่รู้สึกนั้นบล็อกรู้สึกในแนวพวกเครื่องแก้ว คริสตัลอะไรแบบนั้นซะมากกว่า รู้ว่ามีน้ำหอมจากยี่ห้อนี้ด้วยแต่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ พอมาได้รู้จักแล้วก็ถือว่าเป็นยี่ห้อน้ำหอมเก่าอีกยี่ห้อนึงที่ยังคงมีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน

Lalique De Lalique EDP ออกมาในปี 1992 มีโน๊ตกลิ่นจาก Chinese Gardenia, Sicilian Mandarin Orange, Black Currant, Blackberry, Peony, Tunisian Orange Blossom, Magnolia, Bbulgarian Rose, Ylang-Ylang, Sandalwood, Vanilla, Amber, Oakmoss, Cedar, Musk แต่ในรุ่นปัจจุบันจะมีโน๊ตกลิ่นที่ออกจะแตกต่างกว่านี้นิดหน่อยตามกาลเวลา แต่โดยโทนรวมแต่ละช่วงก็น่าจะให้กลิ่นแบบเดียวกันนั่นละ

ได้ลองรุ่น EDP แบบขวดสเปรย์มาแล้วรู้สึกว่ากลิ่นมันจะให้กลิ่นดอกมะลิที่ฉ่ำคม แต่ก็ยังคงให้อารมณ์กานพลูเย็นๆ กับหวานเหนอะๆ คลุ้งไปในกลิ่นที่ออกจะไปทางกลิ่นคาวนิดๆ แนวกลิ่นยุค 90  ช่วงกลิ่นเริ่มแห้งจะรู้สึกถึงกลิ่นผลไม้ฉ่ำน้ำหวานเย็นแห้งๆ คลอไปกับกลิ่นดอกไม้หวานนุ่ม ติดกลิ่นอมหวานออมเปรี้ยวเขียวที่คลอมากับความหอมเย็นฟุ้งไปตลอดช่วงกลิ่น ช่วงท้ายให้กลิ่นหอมมันนวลแบบกลิ่นผลไม้และวนิลาอมหวานบางๆ ติดผิว

ส่วนรุ่น EDT นั้นกลิ่นช่วงเปิดมาให้ความรู้สึกถึงกลิ่นดอกมะลินัวให้กลิ่นคาวๆ คล้ายกับกลิ่นมะลิเปิดแบบ Joy de Jean Patou ตามด้วยกลิ่นอมเปรี้ยวทึบๆ และกลิ่นหอมเย็นแบบกานพลู ช่วงกลางกลิ่นมีความหวานกลมแบบกลิ่นผลไม้หวานติดเย็นบางๆ รู้สึกได้เลยว่ากลิ่นมันเบาขึ้น รู้สึกถึงความหวานของผลไม้ กลิ่นดอกไม้มากว่า ที่ทำให้มันสดชื่นขึ้นกว่า EDP แต่กลิ่นโดยรวมยังคงเป็นกลิ่นแบบเดียวกัน

เป็นกลิ่นที่ให้ความเป็นกลิ่นยุค 90 ชัดเจนดี ด้วยกลิ่นดอกไม้หวานแหลมทึบ ผสมกับกลิ่นเครื่องเทศเย็นซ่า ผสมกลิ่นหอมมันของมักส์ กับวนิลาในช่วงท้าย ที่ให้กลิ่นโดยรวมให้ความหวานเหนอะๆ ทึบๆ แทรกความอมเปรี้ยวที่ดูอบอุ่น เหมือนกลิ่นดินเปียกผสมกับกลิ่นเครื่องเทศแนวสมุนไพร พร้อมกับกลิ่นแห้งแบบแป้งหอมที่ทำให้มันดูเป็นน้ำหอมแนวคนมีอายุหน่อยๆ  หรือจะเรียกว่าเป็นกลิ่นคุณยายก็ไม่ผิดถ้าพูดกันตรงๆ ถึงจะไม่อยากจะเทียบแบบนั้นก็เถอะ เรียกว่ามันให้กลิ่นที่หอมแปลกดี จะดูเป็นกลิ่นดอกไม้แนวธรรมชาติก็ไม่ เหมือนกลิ่นสมุนไพรก็เปล่า แต่เหมาะกับช่วงอากาศเย็นๆ แบบช่วงนี้พอดี

แถมนิดได้ลองใช้งานดูสักพัก ก็อยากบอกว่าอถึงกลิ่นจะวินเทจหน่อยแต่กลิ่นมันหอมกรุ่นติดผิว ที่ฟุ้งแบบตลอดเวลาที่ลมพัดมาเลย กลิ่นที่ลอยมาตามลมมันก็ไม่ได้ดูเป็นแนวน้ำหอมเก่า มันเป็นกลิ่นอมหวานฉ่ำแต่ก็ใส ปนกับกลิ่นดอกไม้แบบมีมิติแบบน่าแปลกใจมาก

Lalique De Lalique EDP+EDT 50ml

Lalique De Lalique EDP Factice Bottle

[[ บทความข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคลที่ได้ลองใช้สินค้า เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลที่นำมาเล่าเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อตัวสินค้าที่ใช้งานเท่านั้น ความคิดเห็นหรือประสบการณ์การใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล โปรดทำความเข้าใจ และพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการอ่านด้วยตัวบุคคลเอง ]]

#VintageMonday #PerfumeFriday

Perfume Blog: Vintage Christian Dior Poison [Vintage Collection]

สวัสดีบล็อก! วันนี้จะเอาน้ำหอมเก่าขวดนึงที่เพิ่งได้มาเมื่ออาทิตย์ก่อนมาลงให้ดูกัน น้ำหอมที่เพิ่งได้มาก็คือ Christian Dior Poison Esprit de Parfum เป็นน้ำหอมขวดเล็กที่เขาแจกในสมัยก่อน เป็นรุ่นที่มีลวดสีทองคล้องตรงคอ มีห่วงเอาไว้ห้อยอะไรสักอย่าง พร้อมกล่องรูปทรงหกเหลี่ยมแบบดั้งเดิม ระบุที่อยู่เดิมด้วย น่าจะอยู่ในยุคต้นปี 1990 ที่ยังใช้ที่อยู่เก่าระบุลงบนกล่องเก่าใช้ได้เลย ครั้งนี้ก็เอา Poison ขวดอื่นๆ ที่เก็บมาก่อนหน้านี้มาลงด้วยเลยละกัน

 

Poison ขวดสีม่วงเข้มดั้งเดิมนี้เปิดตัวมาในปี 1985 เป็นน้ำหอมกลิ่นหอมเย็นหวานแบบลูกพลัม ผสานด้วยกลิ่นหอมลึกลับแบบดอกซ่อนกลิ่น และน้ำผึ้ง ปิดท้ายด้วยกลิ่นนุ่มแบบวนิลา และอำพัน เป็นการเล่ากลิ่นคร่าวๆ ให้พอคิดออก กลิ่นจริงๆ มันแปลก ลึกลับ แต่หอมนะ หอมตามยุคสมัย เดี๋ยวจะมีบล็อกเล่าเรื่องลองกลิ่น Poison ในรุ่นปัจจุบันลงบล็อกด้วยอย่าลืมกลับมาอ่านกัน

Christian Dior Poison Esprit de Parfum 5ml.

Christian Dior Poison Eau de Cologne 50ml.

Christian Dior POISON Parfum 7.5ml.

Christian Dior Tendre Poison EDT 30ml.

Pefume Blog: Vintage Collection: [Mini Review] Christian Dior Dior Star EDT, CHANEL Allure Parfum

ครั้งก่อนเคยได้เอา Christian Dior รุ่นเก่าๆ ที่มีและได้มาเอามาลงรวมกันในบล็อกไปบ้างแล้ว วันนี้เอาอีกขวดที่เพิ่งได้มาเมื่ออาทิตย์ก่อนสดๆ ร้อนๆ มาลงเพิ่มอีกกลิ่น กลิ่นนี้เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ออกมาพร้อมๆ กับกลิ่นอื่นที่ทำดีไซน์ขวดขี้เหร่สุดเท่าที่เคยเห็น Dior ทำมาของน้ำหอมช่วงต้นปี 2000 เป็นน้ำหอมที่ทำมาเฉพาะขนาด 50ml. ดูจากหน้าตาขวด กับแพ็คเกจแล้ว ดูน่าจะทำมาเจาะกลุ่มวัยรุ่นในสมัยนั้นละ และกลิ่นที่ออกมานกลุ่มน้ำหอมนี้จะเป็นกลิ่นดอกไม้เป็นส่วนใหญ่ ที่ให้กลิ่นหอมสดใส เหมาะกับทุกๆ วัน แต่ละกลิ่นจะมีความหอมแตกต่างกันไปแต่ยังคงโทนเดียวกันถ้าใครเคยลองกลิ่นนะ  ลองดูหน้าตาแพ็คเกจของแต่ละกลิ่นตามรูปด้านล่างแล้วเพลีย ไม่เหมือน Dior เลย เหมือนน้ำหอมก๊อปจากต่างประเทศมากกว่า

กลิ่นที่เพิ่งได้มาคือ Dior Star edt. ได้มาแค่ตัวขวดเท่านั้น ไม่มีกล่องมาด้วย ปริมาณน้ำหอมมีเหลือแค่ครึ่งขวดเลยได้มาในราคาที่ถูกมาก แบชโค้ดขวดนี้คือ 5D01 เอาไปเช็คในเว็บคร่าวๆ กระประมาณปี 2015 ซึ่งก็ไม่นานนี้ ขวดมาในรูปทรงเดิมที่ดูทื่อๆ กับการเคลือบสีเงินวาววับ ที่มีเจาะรูปดาวอยู่ด้านหน้า กับโลโก้ที่ดูไม่เหมือนว่าเป็นน้ำหอม Dior ของแท้สักเท่าไหร่ ถ้าเห็นแบบไม่เคยรู้ว่ามีกลิ่นนี้ออกมาจริงๆ คงคิดว่าเป็นน้ำหอมปลอมจากต่างประเทศแน่ เอาจริงๆ ก็ไม่ชอบดีไซน์ขวดในช่วงนั้นเลยมันดูเชยๆ ดูราคาถูก เหมือนน้ำหอมปลอม แต่ในเมื่อได้มาขวดนึงแล้วทำไมจะไม่เก็บขวดอื่นๆ ที่เจอละ เลยเป็นที่มาของการเก็บน้ำหอมชุดนี้

ว่าด้วยเรื่องกลิ่น ขวดนี้ลองสเปรย์มาลองกลิ่นดูสักหน่อย กลิ่นแนวน้ำหอมดอกไม้โปร่งๆ กลิ่นหอมใส ให้ความรู้สึกถึงพวกกลิ่นดอกกุหลาบ ดอกโบตั๋นแนวๆ นี้ ที่ทำให้รู้สึกว่ากลิ่นมันหอมถูกใจนิดนึงก็ตรงที่มันติดกลิ่นเขียวคมๆ ชัด โดยเฉพาะช่วงที่แห้งแล้วกลิ่นมันให้ความรู้สึกกลิ่นเขียวที่สดชื่นมากๆ แต่กลิ่นก็จางไปอย่างรวดเร็วติดไม่ทนเลย

Christian Dior Dior Star EDT 50ml. – Batch Code 5D01

ต่อมาอีกขวดที่ได้มาคือ CHANEL Allure Parfum เจอลงประกาศในเว็บขายของมือสองแบบพอดิบพอดี ที่คนขายเพิ่งลงขายในราคาที่ถูกมาก ตัวขวดยังอยู่ในสภาพใหม่ แว๊กซ์ซีล และเชือกผูกคอขวดยังอยู่สมบูรณ์ แต่มีสภาพฝาขวดถูกหมุนเบื้ยวอยู่ คงเป็นเพราะเจ้าของเก่าพยายามเปิดขวดละมั้ง แต่ก็จัดการบิดกลับไปเข้าที่ให้อยู่ในสภาพเดิม ขวดนี้ปริมาณน้ำหอมยังเต็มขวด มีมาพร้อมกล่องครบๆ ได้มาเก็บเพิ่มอีก 1 ขวด จากกลิ่นนี้เคยได้มานานแล้ว 1 ขวด ถือโอกาสเอามาลงรวมกันที่นี่เลยละกัน

.

CHANEL Allure Parfum 15ml. – Batch Code 0902

อีกขวดที่ได้มาก่อนหน้าที่ได้มาแค่ขวดอย่างเดียว ไม่มีกล่องมาด้วย ปริมาณน้ำหอมเหลือพอสมควรขวดนี้ได้มาราคาค่อนข้างสูงเพราะหายาก เขาบอกมาแบบนั้น แต่ก็ยังไม่เคยเอามาลองลิ่นจริงจัง แค่ลองแต้มดูกลิ่นหอมนวล กลิ่นหอมวนิลาบางๆ ที่ให้ความรู้สึกเย็น กลิ่นนุ่มละมุน บางเบา ช่วงกลิ่นเปิดมีความหอมโปร่งๆ คล้ายน้ำหอมหอมยุคเก่าบอกไม่ถูกว่าเป็นกลิ่นของอะไร แต่กลิ่นโดยรวมคล้ายกับ Dior Addict EDP เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกดูภูมิฐานดีมากๆ

Vintage CHANEL Allure Parfum 15ml – Batch Code: 5405

ขวดนี้ได้มาช่วงกลางปีก่อนได้มาแค่ขวดอย่างเดียวไม่มีกล่อง เช็คโค้ดดูว่าเป็นโค้ดของปี 2020 แต่ก็คงไม่น่าจะใช่เพราะได้มาก็กลางปีแล้วคงเป็นก่อนหน้านั้น จากข้อมูลเขาว่าหมายเลข Batch Code นั้นจะใช้ซ้ำทุก 8 ปี ทำให้ขวดนี้น่าจะอยู่ในช่วงปี 2012 ละมั้ง

Perfume Blog: Vintage Collection: Christian Dior Forever and Ever, Diorissimo, Remember Me, I love Dior, Dior me Dior me not

ครั้งนี้จะลงเรื่องน้ำหอมเก่าจาก Christian Dior ที่เพิ่งได้ขวดล่าสุด Forever and Ever ขวดรุ่นเก่ามา เลยถือโอกาสเอาขวดรุ่นๆ เดียวกันกลิ่นอื่นๆ ที่ได้มานานแล้วเอามาลงรวมไว้ที่นี่ด้วย

ขวดรุ่นนี้เป็นขวดแก้วที่ออกจำหน่ายประมาณช่วงต้นปี 2000 ที่คิดว่าหลังจากนั้นจะเปลี่ยนขวดสเปรย์เป็นแบบใหม่ที่ดูเพรียวสวยขึ้นและก็เลิกผลิตไปหลายกลิ่น เหลือแค่บางกลิ่นที่ขายดีหรือมีประวัติกับแบรนด์เท่านั้น เป็นชุดน้ำหอมที่ใช้ชื่อชุดว่า “Les Créations de Monsieur Dior” ที่รู้สึกว่าจะมีแค่ 7 กลิ่น ถึงจะมีเหลือวางขายหลายกลิ่นแต่ในไทยเห็นแค่ 2 กลิ่น ที่วางขาย คือ Diorissimo edt กับ Forever and Ever ที่ขายอยู่ตอนนี้

ดังนั้นน้ำหอมขวดเก่า และกลิ่นเก่าๆ เหล่านี้มันเลยน่าเก็บเอาไว้ดู เอาไว้ลองกลิ่นเพื่ออ้างอิงมากจริงๆ ถึงรูปร่าง การสกรีนขวดดูเชยไปหน่อยตามยุคสมัยก็ถือเป็นการศึกษาศิลปะในแต่ละยุคละกัน

รูปที่ลงแต่จะกลิ่นอาจจะต่างกันหน่อยเรื่องแสงเพราะถ่ายเอาไว้ตอนที่ได้แต่ละขวดมาใหม่ๆ ซึ่งได้มาไม่พร้อมกันแสงเลยไม่เท่ากันมืดบ้าง สว่างบ้าง และเรื่องลองกลิ่นบอกตามตรงว่าไม่กล้ากดลองตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะลองกลิ่นกลัวเล่าไม่ถูกว่ากลิ่นมันเป็นแบบไหน บรรยายไม่ถูกขอหาประสบการณ์อีกนิดก่อนตอนนี้ต้องขอโทษผู้อ่านด้วย

.

Christian Dior Forever and Ever EDT. 50ml.

Christian Dior Diorissimo EDT. 30ml.

Christian Dior Remember Me EDT. 50ml.

Christian Dior I Love Dior EDT. 50ml.

Christian Dior Dior Me Dior Me Not EDT. 7ml.

Perfume Blog: Vintage Collection: Calvin Klein Obsession, Secret Obsession, Obsession for Men, Obsession Night for Men

ครั้งนี้ก็ยังคงจะมาลงคอเล็คชั่นน้ำหอมเก่ากันอยู่ เดือนก่อนได้ดูรีวิวน้ำหอมจากช่องนึงใน Youtube รีวิวกลิ่น Obsession ของ Calvin Klein รีวิวและบรรยายกลิ่นได้ละเอียด น่าฟัง เคลิบเคลิ้ม ทำให้รู้สึกว่ามันน่าหามาลองมาก ตอนที่รีวิวเขาใช้ขวดรุ่นเก่าดั้งเดิมมาบรรยายกลิ่นเทียบกันด้วย ซึ่งช่องนี้นั้นจะรีวิวน้ำหอมที่ดี และควรค่าแก่การรีวิวประมาณนั้นเท่าที่ดูมา ทำให้เราคิดว่าน้ำหอมของ Calvin Klein มันมีกลิ่นหอมลึกซึ้งแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ ในยุคก่อนนั้นยี่ห้อนี้ก็ทำน้ำหอมคุณภาพดีๆ มามากเลยละ

ช่อง Super Dacob นี้แหละที่เข้าไปดูและก็เกิดอยากลองกลิ่นขึ้นมาใครมีเวลาว่างๆ เข้าไปฟังกันชอบที่ได้รู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับน้ำหอมเยอะดี และก็ตลกดีด้วย

อาทิตย์ก่อนอยู่ว่างๆ ก็หาเรื่องกดเข้าไปในเว็บขายของเข้าไปดูร้านน้ำหอมประจำ ร้านนี้รู้สึกจะเป็นร้านขายเครื่องสำอางค์ที่มีน้ำหอมขายเหมือนจะเปิดมานานแล้วด้วย เพราะเข้าไปดูก็จะมีน้ำหอมเก่า รุ่นเก่าๆ ที่เลิกผลิต หรือรุ่นแรกๆ ยังพอมีหลงเหลือให้เราจับจองอยู่บ้าง กดดูไปเรื่อยๆ ดันไปเจอเจ้า Calvin Klein Obsession ขวดเล็ก 15ml. ขายลดราคาอยู่พอดี ราคาก็โอเคปกติไม่แพงสำหรับน้ำหอมขวดเล็กแบบนี้ กดดูต่อไปเรื่อยๆ ก็เจออีก 3 รุ่น เอาไงละทีนี้ว่าจะเอามาแค่ขวดเดียว แต่เจอเพื่อนมันด้วย ก็แน่นอนกดเอามาทั้ง 4 รุ่นเลย เรียกว่า Obsession ของแท้เลยละ ของมาก็ช้าหน่อยเพราะร้านอยู่ไกลไกลสุดภาคใต้โน่นเลย วันนี้เลยเอารูปมาลงเก็บไว้ก่อน ลองกลิ่นค่อยว่ากันอีกที ที่ได้มาจะเป็นน้ำหอมขนาดเล็ก Miniature Perfume ขนาด 15ml. ทั้งหมด

Calvin Klein Obsession ตัวแรกดั้งเดิมเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1985 เป็นน้ำหอมแนว Oriental Spicy หรือว่าแนวกลิ่นเครื่องเทศที่เรารู้จักกันดี สำหรับผู้หญิง และก็มี Obsession for Men ตามมาในปี 1986 เป็นน้ำหอมแนว Oriental Woody หรือกลิ่นแนวไม้หอม สำหรับผู้ชายออกมา ระหว่างนั้นมี Obsession Sheer สำหรับผู้หญิงมาปี 2002 ส่วน Obsession Night for Men เป็นน้ำหอมแนว Oriental Woody สำหรับผู้ชาย เปิดตัวเมื่อปี 2005 และ Secret Obsession เป็นน้ำหอมแนว Oriental Floral สำหรับผู้หญิง เปิดตัวเมื่อปี 2008 ต่อจากนี้ก็มีอีกหลายรุ่นเลยทีเดียว

Calvin Klein Obsession edp. 15ml.

Calvin Klein Secret Obsession edp. 15ml.

Calvin Klein Obsession for Men edt 15ml., Obsession Night for Men edt. 15ml.

Perfume Blog: Vintage Collection: Nina Ricci L’Air du Temps Lalique Single Dove Perfume Bottle

วันนี้ก็ยังคงมากับน้ำหอมเก่าอยู่ อยู่บ้านกักตัวไม่ได้ไหนมีแต่ไปรษณีย์แวะเอาของมาวางส่งไว้เปิดกล่องออกมามันคือ Nina Ricci L’Air du Temps ที่เป็นขวดแก้วแบบฝาปิดรูปนกตัวเดี่ยวบนฝาขวด จากปกติที่เคยเห็นนกคู่กันบนฝาก็เลยดูแปลกตาดี ขวดนี้ได้มาในอารมณ์ที่จะว่าโชคดี หรือโชคร้ายก็ไม่รู้ มือมันอยู่ไม่สุขชอบกดเข้าไปเว็บขายของมือสองเองตลอดๆ และครั้งนี้ก็บังเอิญเจอโพสประกาศขายพอดี เพิ่งลงไม่กี่นาทีที่แล้วในราคาที่ค่อนข้างถูก กดเข้าไปดูก็เห็นลายกล่องแปลกตาดี สงสัยเป็นลายไม้ ตอนนั้นคิดแบบนั้น สภาพดี น้ำหอมเหลือเยอะ ซีลยังไม่แกะ ในราคาที่ไม่น่าจะปฏิเสธลงเลยรับมาเก็บไว้อีกขวด เรื่องที่ว่าโชคร้ายก็คือมีเรื่องที่จะต้องเสียเงินอีกแล้วยังไงละ

Nina Ricci L’Air du Temps Lalique Single Dove Perfume Bottle 15ml – 30ml

แกะกล่องมาดูรายละเอียดใกล้ๆ กล่องมันไม่ได้ลายแปลกอะไรหรอก มันผ่านอะไรมาต่างหากเลอะจนทำให้กล่องบุผ้าสีเหลืองนั้นกลายเป็นแบบนั้นไป แต่ตัวขวดน้ำหอมข้างในยังปลอดภัย ซีลยังดี แน่น ไม่มีท่าทีจะหลุดจากคอขวดเลย สภาพภายนอกนั้นโอเคมากๆ โชคดีที่ได้มาสักที เป็นขวดที่หามาตลอด ไม่ค่อยมีคนลงขายเคยเห็นครั้งนึงเป็นรุ่นนกคู่ แต่ตั้งราคาซะเกินเอื้อมเลยถอดใจไปละ

หน้าตาแบบฝาที่มีนกตัวเดียวแบบนี้ จากที่ดูในเว็บทั่วๆ ไปเกี่ยวกับประวัติของกลิ่นนี้ก็จะเป็นช่วงปี 1970+ ก่อนที่จะกลับมาเป็นฝานกคู่อีกครั้ง และขวดแบบนี้ก็ค่อยๆ เลิกจำหน่ายในวงกว้างไปจนเหลือแค่จำหน่ายเป็นรุ่นพิเศษในปัจจุบัน หรือว่ายังมีขายรุ่น Parfum ในขวดแก้วแบบนี้อยู่ก็บอกกันด้วยเพราะยังไม่เคยเห็นเลย ส่วนขวดนี้ความจุเท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจ น่าจะ 15ml. – 30ml. ละมั้ง ลองแกะขวดออกจากล่องมาดูที่ก้นขวดแล้วก็ไม่ได้ระบุความจุอะไร บอกแค่ว่าขวดผลิตในประเทศฝรั่งเศษ ก้นกล่องก็ไม่มีอะไรบอก ปริมาณความจุน่าจะอยู่บนกระดาษห่อกล่องที่ห่อไว้ตอนที่มันวางขายในสมัยนั้นละ